ที่มาhttp://www.kaohoon.com/online/
ผู้เข้าชม : 128 คน
นายดุษิต จงสุทธนามณี กรรมการการเงิน บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จำกัด (มหาชน) หรือ PRANDA เปิดเผยว่า ราคาทองคำที่ปรับลดลงมากไม่มีผลต่อบริษัทแต่อย่างใด และบริษัทไม่มีนโยบายที่จะเก็บสต็อคทองคำหรือโลหะเงินในช่วงราคาลง เพราะบริษัทจะใช้วิธีผลักภาระไปยังลูกค้าเพื่อปิดความเสี่ยงจากต้นทุนวัตถุดิบ โดยจะกำหนดต้นทุน ณ วันรับออร์เดอร์จากลูกค้า ดังนั้น ก่อนการส่งมอบสินค้า 2 เดือนหากราคาทองคำหรือวัตถุดิบอื่นผันผวน ลูกค้าก็จะเป็นผู้รับความเสี่ยง
อย่างไรก็ตาม บริษัทมองว่าราคาทองคำที่ปรับลดลงมากจะเป็นผลดีในแง่ของออร์เดอร์ที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่า หากราคาทองคำตลาดโลกปรับลดลงต่ำกว่า 1,500 ดอลลาร์/ออนซ์ก็มีโอกาสที่จะทำให้ยอดขายของบริษัทในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 10% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5% โดยจะมีการทบทวนเป้าหมายในช่วงครึ่งหลังของปี 56 เพราะขณะนี้คาดว่าลูกค้าคงต้องรอให้ราคาทองคำมีเสถียรภาพมากกว่านี้
สำหรับเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นตั้งแต่ต้นปี 56 ขณะนี้มีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานไม่มากนัก โดยเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น 1% จะทำให้บริษัทขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน 2 ล้านบาท แต่โดยรวมยังไม่มีผลขาดทุน ในปีนี้บริษัทประเมินค่าเงินบาทอยู่ที่ 29 บาท/ดอลลาร์ ส่วนราคาทองคำประเมินไว้ 1,650 ดอลลาร์/ออนซ์ ซึ่งขณะนี้ได้ปรับลดลงเร็วจากที่คาดการณ์ไว้มาก
บริษัทยังคงเตรียมงบลงทุนในช่วง 3 ปีไว้ที่ 430 ล้านบาท โดยจะใช้สำหรับการสร้างอาคารใหม่ 200 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ ส่วนที่เหลือใช้ซื้อเครื่องจักรใหม่ทดแทนเครื่องจักรเดิม 80 ล้านบาท และขยายตลาดในอินเดีย-อินโดนีเซียราว 150 ล้านบาท โดยตลาดอินเดียตั้งเป้ายอดขายที่ 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เติบโต 50% จากปีก่อนที่มียอดขาย 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนอินโดนีเซีย ตั้งเป้ายอดขาย 4-5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งการขยายตลาดทั้งสองประเทศนั้น บริษัทพร้อมการขยายตลาดในการขยายแฟรนไชส์และลงทุนเอง
นายดุษิต กล่าวอีกว่า ในไตรมาส 1/56 บริษัทคาดว่ายอดขายเติบโตใกล้เคียงเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5% ขณะที่ยอดขายของบริษัทย่อยในตลาดยุโรปมองว่าไม่น่าจะดีขึ้น แต่บริษัทเน้นการลดค่าใช้จ่าย ส่วนตลาดในภูมิภาคน่าจะเป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับแนวโน้มตลาดอัญมณีและเครื่องประดับในปี 56 มองว่าน่าจะทรงตัว หรือเติบโตไม่มากราว 4-5% เนื่องจากเศรษฐกิจของตลาดหลักยังไม่ฟื้นตัวทั้งสหรัฐและยุโรป ซึ่งปกติบริษัทมียอดขายการส่งออกไปยังทั้งสองตลาดราว 60% แม้ตลาดในเอเชียจะเติบโต แต่ยังไม่สามารถชดเชยได้ทั้งหมด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น