[ ฉบับที่ 1383 ประจำวันที่ 6 มี.ค. 2556 ถึง 8 มี.ค. 2556 ]
ที่มาhttp://www.siamturakij.com/home/news/print_news.php?news_id=413373357
นายแอนโตนิโอ เดล ราซิโอ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โคคา-โคลา (ประเทศไทย) จำกัด เปิด เผยว่า ในปี 2555 ยอดขายของโค้กในประเทศไทย เติบโตมากเป็นอันดับ 2 ของโค้กทั่วโลก รองจากโค้กในอินเดีย เป็นผลมา จากการแข่งขันของตลาด และแบรนด์ที่เคยเป็นเบอร์ 1 ยังอยู่ในช่วงการเริ่มต้นใหม่ ทำให้ น้ำอัดลมขาดตลาด และโค้กก็อาศัยช่องว่างนี้ในการขยายธุรกิจ
ทั้งนี้ ยอดการเติบโตของแบรนด์โค้กในประเทศไทย อยู่ที่ 32% นับเป็นการเติบโต สูงสุดในรอบ 10 ปี และก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในตลาดน้ำอัดลมด้วยส่วนแบ่งยอดขาย 55.5% หากแบ่งเป็นกลุ่มน้ำดำ ซึ่งมีส่วนแบ่ง ประมาณ 75% ของตลาดน้ำอัดลม โค้กครอง อันดับ 1 อยู่ที่ 50% ของตลาด นับเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโค้ก หลังจากที่เคยเป็นเบอร์ 1 เมื่อประมาณ 20 ที่แล้ว แต่โดนเป๊ปซี่ โค่นแชมป์ลง และไม่เคยขึ้นมาเป็นอันดับ 1 อีกเลย แต่ก็เป็นแบรนด์ที่ครองอันดับ 1 ใน ตลาดทางภาคใต้อย่างต่อเนื่อง แต่การจำหน่ายน้ำอัดลมในเมืองไทย ยังกระจุกอยู่ในกรุงเทพฯ ถึง 40% อันเป็นตลาดที่โค้กไม่สามารถตีเป๊ปซี่ได้
ด้านนายพรวุฒิ สารสิน รองประธานกรรมการ บริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด กล่าวว่า สัญญาณของการเติบโตของโค้ก เริ่มตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งในขณะนั้นส่วนแบ่งตลาด ของโค้ก ค่อยๆ ขยับจาก 40% จนมาถึง 50% ในปัจจุบัน โดยเหตุผลหลักคือสินค้าในตลาดน้ำอัดลมยังขาดตลาด โดยโค้กเริ่มปรับเพิ่มทีมงานจำหน่ายสินค้าประมาณ 500 คน พร้อม เพิ่มกำลังการผลิตอีก 35% ทั้งนี้ เป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดหน้าร้อนในปีนี้ รวมทั้งการรองรับตลาดที่ยังขาดสินค้าในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโค้กจะสามารถเพิ่ม ส่วนแบ่งมาถึง 50% จนเป็นผู้นำตลาดน้ำดำได้ แต่หลังจากนี้โค้กก็ยังเดินหน้าเพื่อรักษาส่วนแบ่งพร้อมด้วยการเพิ่มยอดขายต่อไป โดยเตรียมพร้อมทั้งด้านการผลิต อาทิ การก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ด้วยงบประมาณ 1.4 พันล้านบาท ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท หาดทิพย์ จำกัด นับเป็นการเพิ่มกำลังการผลิตในส่วนของขวด PET อีก 3 เท่าตัว โดยจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนเมษายนนี้
โค้กยังได้เริ่มต้นพัฒนาระบบพร้อมการลงทุนด้านโรงงานมาแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน อีกทั้งยังมีการลดต้นทุนเพื่อเพิ่มผลกำไรให้กับร้านค้า ตัวอย่างเช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของรถจำหน่ายสินค้าหรือรถเร่ ซึ่งเคยบรรทุกสินค้าประมาณ 100 ลัง เพื่อทำการกระจายในพื้นที่ต่างๆ แต่สินค้าที่ขนกลับมาอยู่ที่ประมาณ 30 ลัง จึงได้ทำการปรับปรุงระบบโดยร่วมมือในส่วนของข้อมูลการขายกับทางร้านค้า จนสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ 50% ปัจจุบันสินค้า 99% ของสินค้าที่ทำการขนส่งไปสามารถกระจายสู่ร้านค้าได้หมด จากเดิมที่กระจายได้จริงเพียง 65% เป็นต้น
กล่าวได้ว่า โค้กได้ปรับตัวอยู่ตลอด เวลา ก่อนหน้าที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในตลาด ซึ่งต่อจากนี้ไป บริษัทยังคงต้องทำ งานอย่างหนัก ทั้งด้านการตลาด การกระจาย สินค้า และการผลิต เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำไว้ ซึ่งในช่วงนี้เป๊ปซี่ ยังอยู่ในขั้นตอนของการ กลับมาใหม่ ส่วนเอสเป็นแบรนด์ใหม่ที่ต้องใช้เวลาพิสูจน์ตัวเอง ขณะที่บิ๊กโคล่า เป็น แบรนด์ที่เคยมาแรงแต่ปีที่ผ่านมายอดขายก็ไม่ได้เติบโตมากนัก
ตลาดน้ำอัดลมในปี 2555 มีมูลค่า 4.4 พันล้านบาท ปีนี้คาดว่าจะเติบโตอย่างน้อย 7% เป้าหมายของโค้กคือการเติบโตเทียบเท่ากับตลาดหรือมากกว่านั้น ปัจจุบันโคคา-โคลา มีสินค้า 9 แบรนด์ 20 แบบ โดยแบรนด์โค้กมีให้เลือกถึง 20 ขนาด ทำให้มีความได้เปรียบอย่างมากในการจำหน่ายที่เหมาะกับช่องทางที่แตกต่าง สำหรับช่องทางร้านค้าทั่วไปหรือโชวห่วย ซึ่งมีสัดส่วนการขาย 50% ของตลาด ปัจจุบันโค้กเข้าไปจำหน่ายได้ 300,000 ร้านค้า ซึ่งนับว่าครอบคลุมแล้ว
โดยปีที่ผ่านมายอดขายของโคคา-โคลา ในประเทศไทย อยู่ที่ 3 หมื่นล้านบาท เติบโต 23% แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มน้ำอัดลม 80% และกลุ่มเครื่องดื่มที่ไม่อัดลม 20%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น