วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

พฤกษาถอดใจลงทุนมัลดีฟส์ แลกเปลี่ยนเงินทำขาดทุนยับ



ที่มา http://www.dbbnews.com/index.php/real-estate
พฤกษา  ถอนลงทุนมัลดีฟส์  เหตุอัตราแลกเปลี่ยนทำขาดทุนกว่า  50  ล้านบาท  เล็งขายที่ดินชดเชย  “ทองมา”  ทุ่มงบส่วนตัวกว่า  3,000  ล้านบาท  สร้างอาคารพฤกษาเป็นสำนักงานพื้นที่  54,000  ตร.ม.ปากซอยอารีย์  มั่นใจธุรกิจจอสังหาริมทรัพย์ปี  2556  ตลาดกลาง-บนมาแรงแน่

นายทองมา  วิจิตรพงศ์พันธุ์  ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ  บริษัท  พฤกษา  เรียลเอสเตท  จำกัด  (มหาชน)  เปิดเผยว่า  บริษัทตัดสินใจถอนการลงทุนจากประเทศมัลดีฟส์  เนื่องจากปัญหาอัตราแลกเปลี่ยนหลังการลงทุน  ซึ่งการลงทุนที่มัลดีฟส์จะนำเงินสกุลดอลลาร์ไปลงทุน  แต่หากขายได้และต้องการนำเงินกลับประเทศจะต้องเป็นสกุลเงินรูฟียาของมัลดีฟส์  ซึ่งจะทำให้ค่าเงินลดลง  15-16%  ส่งผลให้บริษัทขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนไปแล้วกว่า  50  ล้านบาท  อย่างไรก็ตาม  การขาดทุนดังกล่าวอาจชดเชยด้วยการขายที่ดินที่ยังไม่พัฒนาอีก  60%  ได้  ขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะสามารถขายที่ดินได้เท่าใด

นอกจากนี้มัลดีฟส์ยังเป็นตลาดเล็ก  มีประชากรเพียง  3  แสนคน  ธนาคารที่ปล่อยกู้ลูกค้ารายย่อยมีเพียงแห่งเดียว  วันดีคืนดีก็หยุดปล่อยสินเชื่อ  รวมไปถึงการไม่มีโรงงาน  ทำให้มีความเสี่ยงด้านการลงทุนมากกว่าผลตอบแทนที่จะได้รับ  โดยที่ผ่านมาบริษัทได้นำเม็ดเงินเข้าไปลงทุนประมาณ  250-300  ล้านบาท  ร่วมกับบริษัท  เฮ้าส์ซิ่ง  ดีเวลลอปเม้นท์  คอร์ปอเรชั่น  หรือ  HDC  รัฐวิสาหกิจของมัลดีฟส์  ภายใต้บริษัทร่วมทุน  พฤกษา-เอชดีซีเฮาส์ซิ่ง  จำกัด  โดยลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียม  Coral  Ville  บนเกาะฮูลูมาเล่  จำนวน  2,400  ยูนิต  ที่ผ่านมาพัฒนาในเฟสแรกไปแล้วบนพื้นที่  4.35  ไร่  ประกอบด้วย  9  อาคาร  จำนวน  180  ยูนิต  มูลค่าโครงการประมาณ  470  ล้านบาท  หรือคิดเป็น  40%  ของจำนวนที่ดินทั้งหมด  โดยในไตรมาส  2  คาดว่าจะส่งมอบแล้วเสร็จจึงจะสามารถถอนการลงทุนกลับประเทศได้

ส่วนการลงทุนในประเทศอื่นๆของพฤกษา  ได้แก่  บังกาลอร์  ประเทศอินเดีย  ขณะนี้มียอดจองแล้ว  765  ล้านบาท  จากมูลค่าโครงการ  1,650  ล้านบาท  ปัจจุบันโอนไปแล้ว  272  ล้านบาท  นอกจากนี้ยังได้ร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใน  เมืองมุมไบ  ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดิน  ขณะที่เวียดนามจะเปิดจองบ้านได้ในไตรมาส  3  ของปีนี้  และที่อินโดนีเซียอยู่ระหว่างเจรจาซื้อที่ดิน

นายทองมา  กล่าวต่อว่า  ได้ก่อตั้งบริษัท  ชัญญา  เรียลเอทเตส  จำกัด  ด้วยทุนส่วนตัวกว่า  3,000  ล้านบาท  แบ่งเป็นเงินซื้อที่ดิน  1,300  ล้านบาท  งบประมาณก่อสร้างอีกกว่า  1,600  ล้านบาท  พัฒนาเป็นอาคารสำนักงานขนาด  54,000  ตร.ม.  บริเวณปากซอยอารีย์  แบ่งเป็นพื้นที่สำนักงาน  36,000  ตร.ม.  เพื่อใช้เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของพฤกษา  เนื่องจากในปัจจุบันพฤกษาต้องใช้พื้นที่สำนักงานถึง  4  อาคาร  ทำให้ยุ่งยากในการเดินทางและบริหารจัดการ  หากอยู่ในพื้นที่เดียวกันก็จะทำให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น

ส่วนสาเหตุที่ใช้เงินส่วนตัวแทนที่จะเป็นเม็ดเงินลงทุนของพฤกษา  เนื่องจากเห็นว่าโครงการดังกล่าวให้ผลตอบแทนเพียง  6%  ต่อปีซึ่งจะใช้เวลาคืนทุนนาน  ในขณะหากพฤกษานำเม็ดเงินดังกล่าวไปลงทุนพัฒนาโครงการเพื่อขายจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงถึง  20%  เนื่องจากมีรอบการลงทุนเพียง  117  วันเท่านั้น

ด้านภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี  2555  มูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ  700,000  ล้านบาท  แบ่งเป็นเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล  350,000  ล้านบาท  และต่างจังหวัด  350,000  ล้านบาท  คาดปีนี้มูลค่ารวมตลาดน่าจะเติบโตประมาณ  7%  จากการใช้จ่ายของภาครัฐ  กำลังซื้อที่เพิ่มมากขึ้นของภาคประชาชน  การเปิด  AEC  และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มสังคมเมืองมากขึ้นในกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัด  ซึ่งส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียมได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น  โดยระดับราคาที่คาดว่าจะมีการเติบโตมากที่สุดในปีนี้คือ  ระดับกลาง-บน

"ภาวะฟองสบู่ที่หลายฝ่ายกังวลนั้น  บริษัทได้ออกมาตรการสำหรับป้องกันปัญหาดังกล่าว  โดยเน้นบุกตลาดแนวราบโดยเฉพาะกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง  ในส่วนโครงการแนวสูงบริษัทได้ใช้มาตรการส่งเสริมกลุ่มที่ซื้อและสามารถโอน  ได้จริง  อาทิ  กลุ่มลูกค้าภายใน  พนักงาน  ส่วนกลุ่มลูกค้าภายนอกบริษัทจะวิเคราะห์  จำแนกและสกัดกลุ่มนักลงทุนที่มีพฤติกรรมจองเกินกว่า  3  ยูนิตขึ้นไปโดยจะเชิญมาสอบถามก่อนการอนุมัติจอง  เนื่องจากบริษัทไม่มีมาตรการส่งเสริมการซื้อขายใบจองโดยไม่มีแนวโน้มที่จะโอน"  นายทองมา  กล่าว

ด้าน  นายประเสริฐ  แต่ดุลยสาธิต  กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการกล่าวว่า  ในสิ้นปี  2555  บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้  (backlog)  ที่  35,396  ล้านบาท  โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้  24,490  ล้านบาท  ซึ่งคิดเป็น  73%  ของเป้าหมายรายได้ปีที่ตั้งไว้  34,000  ล้านบาท  จึงมั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถทำรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมาย  ส่วนในปี  2556  คาดว่ากำไรสุทธิและรายได้ของบริษัทจะทำสถิติสูงสุดอีกครั้ง  โดยคาดว่าจะมีกำไรสุทธิเกิน  5,000  ล้านบาท  จากปีก่อน  ที่มีกำไรสุทธิ  3,890  ล้านบาท  และรายได้มีโอกาสแตะ  40,000  ล้านบาทจากเป้าหมายที่ตั้งไว้  34,000  ล้านบาท  จากสต็อกและ  backlog  ที่มีอยู่ในปีนี้  โดยปีนี้จะมียอดโอนคอนโดมิเนียมเข้ามามากถึง  9,545  ล้านบาท  ซึ่งอัตรากำไรสูงกว่าที่อยู่อาศัยประเภทอื่น  ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรสุทธิรวมในปีนี้อยู่ที่  15-16%  จากปีก่อนอยู่ที่  14%  ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจะเพิ่มเป็น  35%  จากปีก่อนอยู่ที่  34%

"ในปีนี้  เรามียอดโอนคอนโดฯ  ประมาณ  1  ใน  3  ของรายได้  ซึ่งคอนโดฯ  จะมี  Net  Profit  Margin  ที่  18%  และ  Gross  Profit  Margin  40%  ซึ่งสูงกว่าบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์  ประกอบกับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นน้อยกว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้นมาก  ทำให้รายได้และกำไรปีนี้สูงขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง"

นายประเสริฐ  กล่าวอีกว่าปีนี้  บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่  78  มูลค่ารวม  55,000  ล้านบาท  ทั้งในกรุงเทพ  ต่างจังหวัด  และต่างประเทศ  ประกอบด้วยทาวน์เฮาส์  47  โครงการ,  บ้านเดี่ยว  16  โครงการ  และคอนโดมิเนียม  13  โครงการ  ส่วนโครงการในต่างประเทศมี  2  โครงการ  ได้แก่ที่เมืองมุมไบ  ประเทศอินเดีย  มูลค่า  1,000  ล้านบาท  และที่เวียดนาม  เมืองไฮฟง  มูลค่า  3,000  ล้านบาท  ที่คาดเปิดจองได้ในไตรมาส  3/56  หลังมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเสร็จสิ้นแล้ว  ส่วนงบซื้อที่ดินในปีนี้  ตั้งไว้ที่  15,000  ล้านบาท  นอกจากนี้  บริษัทมีแผนออกหุ้นกู้  วงเงิน  6,000  ล้านบาท  อายุ  3  ปี  5  ปี  ในช่วงกลางปีนี้  โดยจะนำมาทดแทนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดไถ่ถอน  จำนวน  4,500  ล้านบาท  ส่วนอีก  1,500  ล้านบาท  ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น