วันเสาร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2556

ชี้แนวโน้มธุรกิจทางด่วน ฟันกำไร


วันอังคารที่ 09 เมษายน 2013 เวลา 12:54 น.
พเยาว์ มริตตนะพร
ที่มาhttp://www.thanonline.com/index.php?option
"ในปีนี้น่าจะเป็นปีสุดท้ายของการขาดทุน ส่วนปีหน้า 2557 น่าจะเริ่มเห็นผลจากบริษัทลูกมากขึ้น ทั้งนี้ปี 2555 หลังจากกลับสู่ภาวะปกติกรณีเกิดอุทกภัยปลายปี 2554  ตัวเลขการใช้ทางด่วนพบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างมาก....."

พเยาว์ มริตตนะพร    นับตั้งแต่ผ่านพ้นช่วงเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปลายปี 2554 คาบเกี่ยวต้นปี 2555 ดูเหมือนว่าภาวะการขาดทุนของบริษัททางด่วนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือบีอีซีแอล จะเริ่มเห็นแสงสว่างมากขึ้น เมื่อบวกเข้ากับภาวะการจราจรติดจากการเพิ่มปริมาณรถยนต์ในโครงการรถคันแรกของรัฐบาล มีส่วนเสริมให้ประชาชนหันไปใช้บริการทางพิเศษหรือทางด่วนกันมากขึ้น ส่งผลให้รายได้จากค่าผ่านทางเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ สร้างความมั่นใจให้ผู้บริหารบีอีซีแอลว่าปีนี้เป็นปีสุดท้ายของการขาดทุน
    นางพเยาว์ มริตตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทางด่วนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือบีอีซีแอล ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงการดำเนินธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาและในปี 2556 นี้ว่าภาพรวมผลประกอบการบมจ.ทางด่วนกรุงเทพ ประจำปี 2555 มีกำไรสุทธิ 2,254 ล้านบาท คิดเป็นต่อหุ้น 2.93 บาท ถือว่าสูงสุดตั้งแต่เปิดดำเนินธุรกิจมาจนถึงปัจจุบัน โดยมีที่มาจาก 2 เรื่องคือ 1.จากการจัดเก็บค่าผ่านทาง และ 2.จากการขายเงินลงทุนในหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัท เซาท์อีสต์เอเชีย เอเนอร์ยี่ จำกัด(SEAN)ซึ่งเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างเขื่อนน้ำงึม 2 ในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว โดยเฉพาะเรื่องของรายได้ค่าผ่านทางนั้นยังเติบโตเป็นปกติกำไรสูงขึ้นมาก
++ความชัดเจนการขอปรับค่าผ่านทางด่วน
    สำหรับความชัดเจนเรื่องค่าผ่านทางด่วนนั้นจะมีกำหนดไว้ในสัญญาว่า 5 ปีจึงจะมีการปรับค่าผ่านทาง โดยปรับราคาระดับหน่วยละ 5 บาท คือ จาก 5 บาทปรับเป็น 10 บาท และ 15 บาทปรับเป็น 20 บาท โดยปัจจุบันอัตราค่าผ่านทาง 45 บาทในเขตเมืองจะแบ่งรายได้ให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย 60% บีอีซีแอลได้ 40% ปีนี้นับเป็นปีที่ 5 ก็จะมีการปรับในวันที่ 1 กันยายน 2556
อย่างไรก็ดีขณะนี้ได้ทำหนังสือแจ้งไปยังการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.)แล้วว่า 1.ปีนี้เป็นปีที่ครบกำหนดการปรับค่าผ่านทาง 2.อัตราเงินเฟ้อที่คำนวณได้อยู่ในระดับที่สมควรจะปรับค่าผ่านทาง ส่วนจะปรับเท่าไรนั้นอยู่ในการพิจารณาของกทพ.โดยจะเป็นการคำนวณจากดัชนีผู้บริโภค คาดว่าในเร็วๆนี้กทพ.จะออกมาแถลงความชัดเจนเอง
    "ขณะนี้กทพ.ได้ตั้งคณะอนุกรรมการขึ้นมาพิจารณาในเรื่องนี้แล้ว แต่บีอีซีแอลยังไม่ได้รับเชิญ ซึ่งบีอีซีแอลได้ส่งจดหมายแจ้งไปยังกทพ.ทราบแล้วว่าขอมีการปรับราคาค่าทางด่วนโดยจะต้องมีการพิจารณาร่วมกันต่อไป"
++แนวโน้มการใช้ทางด่วน
    ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นปีที่ดี ปัจจัยอยู่ที่ภาวะหลังน้ำท่วม เมื่อภาวะธุรกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติจึงมีการทำธุรกรรมทางธุรกิจมากขึ้น ส่งผลให้การใช้รถมีปริมาณสูงขึ้นตามไปด้วย หลายฝ่ายคิดว่าปีนี้จะลดลง แต่บอกได้เลยว่าจะยังโตต่อเนื่อง ซึ่งปริมาณ 1.5 ล้านคันที่แบ่งรายได้กัน ถือว่าเติบโตประมาณ 2-3% ซึ่งเป็นการเติบโตปกติบนฐานที่ใหญ่ และมั่นใจว่าในปีนี้น่าจะเป็นปีที่ดีอีกเช่นกัน โดยพบว่าจะโตก้าวกระโดดในส่วนที่เป็นนอกเมือง ส่วนในเมืองดังที่เห็นกันอยู่รถติดไปทั่ว การลงจากทางด่วนค่อนข้างใช้เวลาเยอะมากกว่าขาขึ้น แต่ในส่วนนอกเมืองขณะนี้โตสูงมากประมาณ 7% ในโซนทางด้านเหนือจากแจ้งวัฒนะไปบางปะอิน
    ดังนั้นในปีนี้น่าจะเป็นปีสุดท้ายของการขาดทุน ส่วนปี 2557 น่าจะเริ่มเห็นผลกำไรจากบริษัทSEAN มากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากปี 2555 หลังจากกลับสู่ภาวะปกติกรณีเกิดอุทกภัยปลายปี 2554  ตัวเลขการใช้ทางด่วนพบว่ามีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างมาก  อีกทั้งภายหลังน้ำท่วมยังมีการฟื้นฟู ในเมื่อปี 2555 เป็นฐานใหญ่ปีนี้จึงยังมีแนวโน้มไม่น้อยกว่าปีที่ผ่านมา
    ประการสำคัญรัฐบาลยังมีโครงการทางพิเศษที่จะดำเนินการอีกหลายเส้นทาง เช่น ทางด่วนศรีรัช-ดาวคะนอง โดยส่วนใหญ่รัฐจะเข้าไปดูแลเส้นทางที่ไม่ค่อยให้ผลตอบแทนทางการเงิน เส้นทางที่จะมีผลตอบแทนทางการเงินบีอีซีแอลจะเข้าไปดำเนินการและพร้อมที่จะแข่งขันกับรายอื่นๆ โดยในส่วนทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอกนั้นรายได้จะเป็นของบีอีซีแอล 100%
++ภาวะรายได้ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง
    ปัจจุบันรายได้หลักของบีอีซีแอลจะได้จากค่าสัมปทานทางด่วนอัตราประมาณ 1,500 -1,600 ล้านบาท อีกส่วนหนึ่งเป็นกำไรที่มาจากการขายหุ้น ซึ่งเกิดจากการลงทุนในส่วนธุรกิจอื่นๆตามที่บริษัทมีความถนัด เช่น รถไฟฟ้าใต้ดิน น้ำประปา เขื่อน วงเงินลงทุนเริ่มให้ผลตอบแทนกลับคืนมามากขึ้น โดยขายหุ้นบริษัทลูกที่ก่อสร้างเขื่อนน้ำงึม2 ได้รับเงินจำนวนกว่า 700 ล้านบาท นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของบริษัท ดังนั้นหากรวมรายได้จากค่าสัมปทานและจากการขายหุ้นบริษัทลูกแล้วจึงมากกว่า 2,254 ล้านบาท คิดเป็นต่อหุ้นประมาณ 2.93 บาท โดยจ่ายปันผลกลางปีไปแล้ว 62 สตางค์ แล้วยังได้ประกาศนำเข้าที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อจะจัดประชุมในเดือนเมษายนนี้ว่าจะจ่ายอีกประมาณ 88 สตางค์ ดังนั้นปี 2555 รวมทั้งปีจึงจะจ่ายทั้งสิ้น 1.50 บาท
    สำหรับในปี 2556 บีอีซีแอลครบรอบ 25 ปีพร้อมกับการได้สัมปทานเส้นทางศรีรัช-วงแหวนรอบนอก จากบางซื่อไปทางด้านตะวันตกของกรุงเทพมหานครขณะนี้งานก่อสร้างคืบหน้าตามลำดับ ส่วนกรณีลงทุนอื่นๆก็เริ่มปันผลตอบแทนกลับมามากขึ้นโดยคาดว่าปีนี้จะมีกำไรกว่า 4,000 ล้านบาทโดยได้ลงทุนเพิ่มในบริษัทน้ำประปาไทย จำกัด(มหาชน) จากเดิมถือหุ้นอยู่ 9% เพิ่มอีก 11% รวมเป็น 20% โดยได้รับเงินปันผลต่อเนื่อง ปี 2555 ปันผล 50 สตางค์ซึ่งถือว่าสูงมาก ซึ่งการลงทุนดังกล่าวทำให้กำไรเปลี่ยนแปลงไปเพราะสามารถนำกำไรของบริษัทน้ำประปาไทยฯ 20% เช่น มีกำไร 2,500 ล้านบาทก็สามารถเอา 500 ล้านบาทมารวมเป็นกำไรของบริษัทได้ทันที
    เช่นเดียวกับซีเคเพาเวอร์มีกำหนดเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯในเดือนพฤษภาคมนี้ผู้บริหารระดับสูงซีเคเพาเวอร์มีความมั่นใจมากขึ้น บีอีซีแอลถือหุ้นในซีเคเพาเวอร์ 20% โดยจะขายด้วยการออกหุ้นใหม่กับการที่ผู้ที่หุ้นเดิมเข้าไปร่วมขาย จะเข้าไปรวมขายด้วย 20 ล้านหุ้น ดังนั้นในทุก 1 บาทกำไรจะกลับสู่ที่บีอีซีแอล 20 ล้านบาทขึ้นอยู่กับว่าซีเคเพาเวอร์จะขายในราคาเท่าไร รวมถึงรายได้ที่จะมาจากการปรับค่าผ่านทางในปีนี้ ซึ่งทุกๆ  5 ปีจะครบรอบการปรับค่าผ่านทาง
    "ปัจจัยต่างๆที่เป็นผลบวกด้านการทำกำไรในปี 2556 น่าจะมาจากการทำกิจกรรมหลักที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง "

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,834 วันที่  11 - 13  เมษายน พ.ศ. 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น