ที่มาhttp://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business
โดยในช่วง 3 ปีจากนี้วางเป้าหมายขยายการทำตลาดแบรนด์เถ้าแก่น้อย ก้าวขึ้นเป็นผู้นำในประเทศจีน โดยจะเพิ่มกำลังการผลิตจาก 2.5 ล้านแผ่นต่อวัน เป็น 3.5 ล้านแผ่นต่อวัน ใช้เงินลงทุนด้านเครื่องจักรรวม 150 ล้านบาท
ส่วนแผนดำเนินธุรกิจในระยะ 7-8 ปีต่อมา จะขยายตลาดไปยังยุโรปและสหรัฐ ซึ่งเป็นภูมิภาคสำคัญที่จะทำให้แบรนด์เถ้าแก่น้อย ก้าวขึ้นแท่นผู้นำสแน็กสาหร่ายในตลาดโลก ซึ่งบริษัทต้องสร้างพฤติกรรมการบริโภคสาหร่ายให้เป็นเซ็กเมนท์ใหม่ในตลาดสแน็ก ให้กับผู้บริโภค เพื่อเข้าไปแข่งขันกับตลาดมันฝรั่งทอด
"แผนการรุกตลาดต่างประเทศ เป็นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์เถ้าแก่น้อย เพื่อขึ้นเป็นผู้นำตลาดสแน็กสาหร่าย เช่นเดียวกับแบรนด์เรดบลูที่มีคนรู้จักทั่วโลก"นายอิทธิพัทธ์กล่าว
ในปีนี้บริษัทยังได้เตรียมงบประมาณสำหรับทำตลาดในประเทศราว 200 ล้านบาท ภายใต้กลยุทธ์ไอดอล มาร์เก็ตติ้ง ด้วยการนำศิลปินนักร้องชื่อดังวง 2PM จากประเทศเกาหลี มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อรักษากลุ่มเป้าหมายหลักวัยรุ่นที่นิยมศิลปินเกาหลี รวมถึงเป็นกลยุทธ์นำร่องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในเอเชีย
นายอิทธิพัทธ์ กล่าวอีกว่าจากแผนการขยายธุรกิจในอนาคต คาดว่าต้องใช้งบลงทุนราว 400 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานและซื้อเครื่องจักรเพิ่มกำลังการผลิต โดยบริษัทวางแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไตรมาส3ปีนี้ คาดว่าจะระดมทุนได้ราว 1,000 ล้านบาท เพื่อไปสู่เป้าหมายสร้างแบรนด์สแน็กไทยในตลาดโลก รวมถึงการสร้างรายได้บริษัทระดับยอดขาย 1 หมื่นล้านภายใน 7 ปี แบ่งสัดส่วนรายได้ในประเทศ 60% ต่างประเทศ 40% จากปีที่ผ่านมามียอดขายรวม 2,300 ล้านบาท และเป้าปีนี้มียอดขายรวม 3,000 ล้านบาททั้งตลาดในประเทศและส่งออก
สำหรับตลาดรวมสาหร่ายทอดกรอบมีมูลค่า 2,800 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาเติบโต 35-40% เถ้าแก่น้อย ผู้นำตลาดครองส่วนแบ่ง 60% ตามด้วย มาชิตะ,ซีลิโกะ และโอโนริ ปีนี้คาดตลาดรวมเติบโต 27%
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น