เมื่อธุรกิจของวอลมาร์ทเติบใหญ่ขึ้น ปัจจัยหนึ่งที่แซมมองว่า มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ช่วยให้วอลมาร์ททำได้ดีกว่าคู่แข่ง
คือ การให้ความสำคัญกับการลงทุนเรื่องระบบกระจายสินค้า
วอลมาร์ทเลือกที่จะกระจายสินค้าด้วยศูนย์กระจายสินค้าของตนเองเป็นหลัก และใช้ฝูงรถบรรทุกของตัวเองทั้งหมด แทนที่จะพึ่งพาการเอาท์ซอร์สแบบคู่แข่ง วิธีนี้ทำให้วอลมาร์ทสามารถควบคุมการกระจายสินค้าได้ดีกว่า โดยวอลมาร์ทสามารถเติมสินค้าในร้านได้เองถึง 85 เปอร์เซ็นต์ เทียบกับ 50-60 เปอร์เซ็นต์ในกรณีของคู่แข่ง และมี lead-time เพียงแค่สองวัน เมื่อเทียบกับกรณีที่คู่แข่งต้องใช้เวลา 5 วันหรือมากกว่านั้น ซึ่งแม้ว่าจะเป็นการลงทุนที่สูง แต่ก็ช่วยให้วอลมาร์ทมีต้นทุนจัดส่งสินค้าเพียงแค่ 3% ของยอดขายเท่านั้น เทียบกับ 4.5-5% ในกรณีของคู่แข่งขัน และนั่นก็คือ ช่องว่างที่แตกต่างกันอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีก
นอกจากนี้ วอลมาร์ทยังกล้านำเทคโนโลยีในการจัดส่งสินค้าแบบใหม่ๆ มาใช้ก่อนใคร และปรับปรุงระบบให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ถือได้ว่าวอลมาร์ทเป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีการจัดส่งสินค้าหลายอย่างของโลก อาทิเช่น Cross-docking หรือการใช้ดาวเทียมควบคุมการจัดส่งสินค้า เป็นต้น
แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น แซมบอกว่า เคล็ดลับที่ถือว่าสำคัญที่สุดในการทำธุรกิจ ของเขา คือ การยึดหลักทำแต่สิ่งที่คนอื่นต้องการแล้วคนรอบข้างจะอยากทำธุรกิจกับเราเอง หลักการนี้เป็นหลักการที่แซมยึดถือและใช้ได้ผลมาตลอดไม่ว่าตั้งแต่ในช่วงที่ ธุรกิจยังเล็กอยู่ หรือว่าใหญ่แล้วก็ตาม เขามองว่าการพยายามทำให้เกินความคาดหวังของลูกค้าเอาไว้ก่อน จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
บางทีเราคงเคยแอบสงสัยว่า คนที่เป็นผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจที่ใหญ่โตมโหฬาร อย่างเช่น วอลมาร์ท นั้น เขามีวิธีบริหารงานประจำวันอย่างไร
แซม วอลตัน บอกว่า หากถามว่า เขาเป็นคนทำงานเป็นระเบียบมากแค่ไหน เขาบอกได้เลยว่า เขาไม่ใช่คนที่ทำงานเป็นระเบียบเลย และถ้าหากเขาเป็นคนอย่างนั้น เขาคงทำงานได้น้อยลงมาก เขาชอบที่จะพุ่งไปข้างหน้าอยู่ตลอดเวลา จนบางทีเขาก็รู้ตัวว่า ทำให้ลูกน้องตามเขาไม่ทันเหมือนกัน
ในการทำงานเป็นทีมนั้น แซมจะไม่เข้าไปล้วงลูกกรรมการบริหารทุกคน แต่จะปล่อยให้พวกเขาได้ตัดสินใจเอง รวมทั้งผิดพลาดเองด้วย แต่แซมอาศัยความเป็นคนที่จดจำตัวเลขต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ ทำให้เขาใช้วิธีตามงานโดยการดูจากรายงานตัวเลขต่างๆ แทน ซึ่งเขาจะดูอย่างละเอียดลออมาก
แซมจะเลือกทำงานในส่วนที่ตัวเองทำได้ดีเป็นหลักแล้วอาศัยลูกน้องคนอื่น ช่วยทำงานในส่วนที่ตัวเขาเองไม่เก่ง โดยเขาจะเรียกประชุมกรรมการบริหารทุกเช้าวันเสาร์เพื่อติดตามผลงาน และทำเช่นนี้ติดต่อกันมาเป็นสิบๆ ปี ส่วนในวันธรรมดานั้น แซมจะเข้าออฟฟิศเช้ามาก เช่น ตีสี่ครึ่ง เพราะตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่เขาจะมีโอกาสได้นั่งทำงานส่วนตัว จริงๆ เนื่องจากไม่ถูกรบกวน
แซมเชื่อว่า การเป็นผู้บริหารนั้น หน้าที่ในการสร้างแรงจูงใจและผลักดันให้ลูกน้องทำงานเป็นหน้าที่ที่สำคัญมาก ซึ่งเงินอาจไม่ใช่รางวัลที่จำเป็นแต่เพียงอย่างเดียว แต่รวมไปถึงการรู้จักการสร้างความท้าทายในการทำงานให้กับลูกน้องด้วย แม้แต่การลองสลับหน้าที่ให้ลูกน้อง เพื่อสร้างความท้าทาย หรือการทำตัวให้เป็นคนที่ไม่น่าเบื่อ เพื่อให้ลูกน้องสนุกที่จะร่วมงานด้วย ล้วนเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของผู้บริหารทั้งนั้น
ท้ายที่สุด แซมเชื่อในการทำธุรกิจแบบว่ายทวนกระแส เขาบอกว่า ถ้าเป็นชีวิตส่วนตัว เขาค่อนข้างอนุรักษนิยม แต่สำหรับเรื่องธุรกิจแล้ว เขาชอบกวนน้ำให้ขุ่นอยู่ตลอดเวลา เขาบอกว่า เมื่อใดที่ทุกคนเชื่อไปในทางเดียวกันหมด มีโอกาสสูงมากที่คุณจะพุ่งไปอีกทางหนึ่งแล้วประสบความสำเร็จอย่างสูงได้ ความเชื่อหนึ่งที่มีคนพูดเป่าหูเขาบ่อยที่สุดในชีวิตของเขา คือ ความเชื่อที่ว่าในเมืองที่มีประชากรน้อยกว่า 50,000 คน Discount Store จะไม่สามารถอยู่ได้ และเขาก็ได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่า มันไม่จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น