หลังจากที่ CNBC สถานีโทรทัศน์ธุรกิจชื่อดังระดับโลกได้มอบรางวัล Lifetime Achievement Award ประจำปี 2555 ซึ่งเป็น 1 ในรางวัล Asia Business Leaders Awards ที่ยิ่งใหญ่ในระดับภูมิภาคเอเชีย แก่ ‘นายธนินท์ เจียรวนนท์’ ไปได้ไม่นาน ทางสถานี CNBC ก็ส่ง “Christine Tan” ผู้ดำเนินรายการ Managing Asia
ซึ่งเป็นรายการยอดนิยมของ CNBC
ที่สัมภาษณ์แต่ผู้บริหารระดับสูงขององค์กรธุรกิจชั้นนำของโลกเดินทางมา
สัมภาษณ์พิเศษถึงเบื้องหลังความสำเร็จของ‘ท่านประธานธนินท์ เจียรวนนท์’
ผู้ที่ทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์เติบโตจากธุรกิจครอบครัวสู่การเป็นบริษัท
เกษตรและอาหารที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
รวมถึงวิสัยทัศน์ในการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคตของเครือเจริญโภคภัณฑ์
ในการนี้ “Christine Tan” ได้
สัมภาษณ์ถึงที่มาแห่งความสำเร็จของเครือเจริญโภคภัณฑ์ภายใต้การบริหารงานของ
นายธนินท์ที่ทำให้เครือเจริญโภคภัณฑ์ก้าวสู่การเป็นบริษัทระดับโลก
รวมถึงทุกประเด็นคำถามที่ทุกคนอยากรู้
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง การแก้ปัญหาไข้หวัดนก
รวมถึงข่าวคราวการเข้าไปถือหุ้นของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในบริษัทชั้นนำต่าง ๆ
ของโลก ไม่ว่าจะเป็นคาร์ฟูร์ หรือ สมิทฟิลด์ และยังเปิดเผยถึงการสร้างคน
สร้างทายาททางธุรกิจ และผู้นำคนใหม่ในอนาคตของเครือเจริญโภคภัณฑ์
ท่านที่สนใจสามารถติดตามทุกเนื้อความในการสัมภาษณ์ครั้งนี้แบบไม่ตัดต่อได้ทาง CP E News เพียงแห่งเดียวเท่านั้น....
Christine Tan : คุณ
พ่อและคุณอาของท่านได้เริ่มต้นธุรกิจเมื่อปีค.ศ. 1921
โดยการขายเมล็ดพันธุ์ก่อนที่จะขยายไปสู่ธุรกิจอาหารสัตว์แล้วก็ทำฟาร์มท่าน
เรียนรู้อะไรในแง่ของการทำธุรกิจจากการที่ได้ดูคุณพ่อและคุณอาของท่านในการ
ทำธุรกิจ
ท่านประธานธนินท์ :
ตอนเด็ก ๆ ได้มีโอกาสคุยกับคุณพ่อ
ซึ่งความสำเร็จของคุณพ่อนี่ถืออยู่หลักเดียวก็คือคุณภาพ
และต้องคิดถึงประโยชน์ของเกษตรกร นี่คือหลักที่ผมเรียนรู้จากคุณพ่อ
ต้องซื่อสัตย์ต่อคุณค่าของลูกค้าและคู่ค้า
ในโบราณคุณพ่อก็คำนึงถึงหลักนี้แล้วว่าการที่เราไปหลอกลวงเกษตรกรเขาไม่ได้
เราต้องหาเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดให้เขา
เพราะเขาเหน็ดเหนื่อยเขาลงทุนไปแล้วถ้าหากว่าเมล็ดพันธุ์ไม่ดีเขาจะขาดทุน
ทั้งน้ำหนักก็ไม่มี ราคาก็ไม่ดี
เพราะเมล็ดพันธุ์นี้สำคัญมากเพราะเมล็ดพันธุ์นี้มีชีวิต และมีการลงวันที่
เช่น ถ้าหมดอายุแล้วสามารถนำมาเปลี่ยนได้ฟรี
นี่คือหลักที่ทำให้ผมเข้าใจว่าถ้าผมมารับกิจการบริหารธุรกิจอาหารสัตว์เนี่ย
จะยึดหลักเรื่องคุณภาพเป็นที่หนึ่งและเรื่องประโยชน์ของคู่ค้าเป็นที่หนึ่ง
และเราเป็นที่สอง
Christine Tan : ท่าน
เป็นลูกคนสุดท้องของคุณพ่อซึ่งมีลูกชาย 4
คนด้วยกันแต่ทำไมถึงได้รับการเลือกให้เข้ามาบริหารบริษัทท่านเป็นลูกคนโปรด
ของคุณพ่อรึเปล่า
ท่านประธานธนินท์ : คือ
อย่างนี้ครับ ผมเป็นลูกคนสุดท้องก็จริง
แต่ธุรกิจในช่วงที่คุณพ่อกับคุณอาทำนั้นเป็นเฉพาะธุรกิจเมล็ดพันธุ์
ต่อมาพี่ชายคนโตและคนที่สองได้มาริเริ่มเรื่องอาหารสัตว์
มีพี่ชายคนที่สองเป็นCEO และพี่ชายคนโตเป็น Chairman พี่ ๆ
ได้มอบหน้าที่ให้ผมบริหาร ซึ่งต่อมาธุรกิจนี้ได้ขยายตัวและเติบโต
ในขณะที่ธุรกิจอื่นทำแล้วไม่ได้กำไร ไม่ราบรื่นเท่าธุรกิจอาหารสัตว์
เพราะผมได้ต่อยอดทำให้อาหารสัตว์กลายเป็นอาหารคน คือ มีการขายเป็น
Trademark
Christine Tan : ตอนนั้นท่านพร้อมไหม? ที่จะมารับช่วงธุรกิจต่อจากคุณพ่อถึงแม้ว่าท่านยังอายุน้อยอยู่
ท่านประธานธนินท์: ไม่ครับ คือผมรับช่วงต่อจากพี่ชาย ไม่ใช่คุณพ่อ เพราะคุณพ่อไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจนี้
Christine Tan : ตอน
นั้นท่านยังหนุ่มอยู่ และท่านต้องมีภารกิจที่ต้องสร้างธุรกิจของครอบครัว
ท่านรู้สึกยังไงในตอนนั้นซึ่งท่านก็อายุยังน้อยอยู่แต่ต้องรับภาระนี้
และท่านใช้ยุทธศาสตร์อะไรตั้งแต่เริ่มต้น ใช้วิธีไหนในการทำธุรกิจ
ท่านประธานธนินท์: ต้องพูดอย่างนี้ ตอน
นั้นที่ผมรับบริหารธุรกิจอาหารสัตว์
กิจการนี้ถือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของธุรกิจของเครือเจริญโภคภัณฑ์
ยังไม่ใช่ว่าเป็นธุรกิจหลัก คือตอนที่ผมเข้ามา
ธุรกิจหลักคือมีทั้งโรงงานทอกระสอบ มีทั้งการค้าระหว่างประเทศ
มีเมล็ดพันธุ์เรื่องปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช
ดังนั้นที่ผมรับมาเนี่ยเป็นเพียงส่วนหนึ่ง
และส่วนนี้พี่ชายคนโตก็เป็นChairman
อยู่แล้วพี่ชายคนที่สองก็เลื่อนขึ้นไปเป็นVice Chairman ผมเข้ามาเป็นประธาน
และพอผมทำได้ผลแล้วก็ใหญ่กว่าธุรกิจอื่น ๆ ก็เป็นไปโดยอัตโนมัติ
คือพี่ชายคนโตก็เลื่อนขึ้นมาเป็นประธานกิตติมศักดิ์
ก็ต้องยกย่องพี่ชายคนโตผมกับพี่ชายคนรองที่ให้โอกาสผม
ไม่ใช่อยู่ดีดีเรามารับธุรกิจของเครือฯซึ่งธุรกิจนี้ใหญ่ที่สุดในเครือฯ
Christine Tan : รู้สึกว่าท่านถ่อมตัวมาก
ท่านประธานธนินท์ : ไม่ครับ ความเป็นจริงตอนนั้นผมรับธุรกิจนี้มาบริหาร ธุรกิจตัวนี้เล็กสุดไม่ใช่ใหญ่สุดของครอบครัว
Christine Tan : ดังนั้นท่านก็ได้พิสูจน์ตัวเองกับพี่ชายของท่าน
ท่านประธานธนินท์ : ครับ
แล้วสำคัญที่สุดเราเป็นน้องแล้วให้พี่ ๆ เชื่อถือ
ก็ต้องรู้จักเสียสละไม่ใช่ทำงานมากกำไรมาก ต้องแบ่งให้มากที่สุด
ไม่ใช่นะครับ
ต้องดูแลต้องยกย่องแล้วผลประโยชน์เนี่ยต้องแบ่งกันให้พอใจกันทุกฝ่าย
ซึ่งนี่คือหลักสู่ความสำเร็จ
Christine Tan : ทุก
วันนี้บริษัทซีพีหรือบริษัทเครือเจริญโภคภัณฑ์ได้กลายเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์
และส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดในโลก
อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตไก่รายใหญ่ที่สุดในโลก
ตอนนี้บริษัทได้กลายเป็นบริษัทระดับโลกไปแล้วและก็มีการกระจายสินค้าไปทั่ว
โลกท่านเคยคิดไหมว่าท่านจะประสบความสำเร็จถึงเพียงนี้
ท่านประธานธนินท์ : ตอน
ที่เข้ามารับหน้าที่นี้
ไม่ได้คิดเลยว่าหน้าที่นี้จะมีโอกาสประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้ไปถึงทั่ว
โลกและมีการลงทุนถึง 14 ประเทศรวมแล้วมีประชากร 3พันล้านคน
ตอนนั้นผมไม่ได้คิด
ผมเพียงแต่ว่าถ้าผมรับหน้าที่อะไรมาแล้วต้องทำให้ดีที่สุด
แล้วก็ตามที่คุณพ่อได้เน้นเรื่องคุณภาพและดูแลประโยชน์ของคู่ค้า
ซึ่งคู่ค้าของเราเนี่ยมีอยู่สองคน คนหนึ่งคือคนเลี้ยง อีกคนหนึ่งคือคนซื้อ
ดั้งนั้นเราจึงต้องใช้เทคโนโลยีเรียนรู้จากอเมริกา
ต้องพูดอย่างนี้ว่าเทคโนโลยีกว่า 90 %เนี่ยไปเรียนรู้จากอเมริกา และ10 %
เอามาจากยุโรป เราเอาเทคโนยีมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ เพิ่มรายได้
และสามคนแบ่งกันคือคนเลี้ยงแล้วก็บริษัทและก็ผู้บริโภค
Christine Tan : เมื่อ
ปี 1997
ท่านได้ประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในเอเซียซึ่งทำให้เครือของท่าน
ต้องมีหนี้สินถึงประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ซึ่งท่านถูกบังคับที่จะต้องขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้เหล่า
นี้ ท่านจำได้ไหมว่าการเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้มีความลำบากแค่ไหน
ซึ่งเจ้าหนี้พวกนี้เรียกร้องมากมายทีเดียว
และท่านได้เรียนรู้อะไรจากบทเรียนในครั้งนั้น
ท่านประธานธนินท์ : สำคัญ
ยิ่ง ผมดีใจมากที่ได้เจอวิกฤตในครั้งนั้น ตอนนั้นผมอายุ 58
เลยทำให้ผมได้พิสูจน์ตัวเอง ผมประชุมกับพี่ชาย 3
คนบอกว่าผมขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว ให้ทั้งสามท่านสบายใจได้ เพราะผมมี
3 ธุรกิจที่ขายได้ ซึ่ง 3 ธุรกิจนี้ผมเป็นคนริเริ่มเอง
ผมก็รับปากและก็ยืนยันกับพี่ชายทั้ง 3 ท่าน และบอกว่าผมจะทำให้ไม่ล้มละลาย
และต่อไปจะทำให้ใหญ่กว่านี้อีก
และผมจะขายโลตัสที่ผมริเริ่มทำขึ้นมาเพื่อการค้าปลีก
ถ้าโลตัสขายแล้วยังไม่พอผมจะขายเซเว่น อีเลฟเว่น ถ้ายังไม่อยู่อีก
ผมจะขายทรูก็จะทำให้เราอยู่ได้แน่นอน จริง ๆ
ถ้าผมขายเซเว่นฯก็น่าจะเอาอยู่แล้ว
พอประชุมเสร็จผมก็ขายโลตัสออกไปและกู้เงินจากธนาคาร
ผมถือว่าในการทำธุรกิจถ้าต้องกู้เงินจากธนาคาร
เราจะต้องเตรียมเงินไว้ให้พร้อมทุกเมื่อเพื่อชำระคืน
เพราะธนาคารก็มีภาระในการรับภาระฝากเงินจากลูกค้า ธนาคารจะเสียหายได้
ถ้าเรามีโอกาสคืนเงินทุกบาททุกสตางค์ เราต้องคืน เราเป็นลูกค้าที่ดี
เราเข้าใจธนาคาร แต่บางคนไม่เข้าใจว่าเวลาวิกฤตธนาคารเอาร่มกลับ
เวลาแดดออกธนาคารก็เอาร่มมาให้ เราถืออันนี้ไม่ใช่ นี่คือหน้าที่ของธนาคาร
ซึ่งต้องปกป้องประโยชน์ของผู้ฝากเงิน ผมเข้าใจในประเด็นนี้
และผมบอกธนาคารว่าไม่ต้องห่วง ผมชำระคืนได้แน่นอน
ซึ่งผมขายโลตัสตอนนั้นได้มาหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ
ซึ่งก็ได้ชำระคืนธนาคารรวมทั้งหนี้สินต่าง ๆ ด้วย
ทีนี้ตัวก็เบาขึ้นและผมก็ขายเซเว่นฯไปเพียง 10% เท่านั้น
ทุกอย่างก็เข้าที่เข้าทางแต่ลำบาก ซึ่งวิกฤตตอนนั้นทุก ๆ
ฝ่ายต่างก็จะเรียกเอาเงินคืน ตอนนั้นลำบาก
แต่ลำบากกว่านี้คือหลังจากวิกฤตธนาคารเมืองไทยไม่มีเงินให้กู้
ธนาคารต่างประเทศก็ไม่กล้าให้เงินกู้ เพราะวิกฤตต้มยำกุ้งเกิดในประเทศไทย
ดังนั้นพอพูดถึงธุรกิจเมืองไทย ไม่มีใครให้กู้ ตรงนี้ลำบาก
ผมจึงไม่ได้ขายเฉพาะธุรกิจแต่ยังต้องพัฒนา
ซึ่งผมมีปรัชญาว่าตอนที่ดีที่สุดเราต้องคิดถึงตอนที่เราแย่ที่สุด
เราถึงจะพัฒนาบริษัทเราอยู่รอดได้อย่างไร ตอนที่ดีที่สุด
เราต้องเตรียมพร้อม เพราะตอนแย่ที่สุดมันต้องมาแน่นอน
เพราะธุรกิจไม่เคยดีไปตลอด ดีถึงสุด ก็ต้องลง ลงแล้วขึ้นไปใหม่
ซึ่งผมก็เตรียมตัวไว้แล้วว่าตอนที่ดีที่สุดเราจะต้องปกป้องอย่างไร
เราจะต้องทำอย่างไร แล้วตอนที่แย่ที่สุด
เราจะต้องคิดว่าตอนที่ดีที่สุดจะมาแล้วเราถึงจะมีกำลังใจ
และตอนนั้นเราจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ธุรกิจดีขึ้น ฟื้นขึ้น
เราถึงจะได้รับประโยชน์จากตรงนั้นเต็ม ๆ ลำบากที่สุดคือตอนที่แย่ที่สุด
เราจะขยายธุรกิจนั้นอย่างไร ตรงนี้แหละคือสิ่งที่ผมทำสำเร็จพอเราฟื้นขึ้นมา
ทุกอย่างเราก็พร้อมที่จะก้าวหน้าไปเติบโตอย่างยั่งยืน
Christine Tan : ใน
ตอนนั้น
ท่านทำธุรกิจมากมายแต่ที่เด่นชัดธุรกิจหลักก็คือเรื่องอาหารและก็การเกษตร
ซึ่งในด้านอุตสาหกรรมท่านก็ได้ขยายไปทางด้านโทรศัพท์ ทางด้านมอเตอไซด์
ทางด้านปิโตรเคมี ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้น
ทำให้ท่านได้รู้สึกไหมว่าเป็นการกระจายทางด้านธุรกิจที่มากเกินไป
ท่านประธานธนินท์ : ตรง
นี้ไม่ใช่เป็นปัญหา แต่เต็มไปด้วยโอกาส เราทำมอเตอไซค์ที่ไม่เคยทำก็จริง
แต่เราร่วมมือกับบริษัทในจีนที่ทำมอเตอไซด์ใหญ่ที่สุดในเมืองจีน
เท่ากับเราผลิตมอเตอไซด์ออกมาเท่าไหร่ก็ขายหมด และยังไม่พอขาย
ตรงนี้จึงยังไม่ใช่ปัญหา แล้วก็ลงทุนน้อยได้กำไรมากเพราะไม่มีคู่แข่ง
ไม่มีใครได้โอกาสดีอย่างนี้
โรงงานของรัฐบาลที่ขายมอเตอไซค์ดีที่สุดในเมืองจีนมาร่วมทุนกันคนละครึ่ง
เราเพียงแต่ใส่เงินทีละขั้นทีละขั้นเพิ่มทุนทีละครั้ง
สุดท้ายก็เอากำไรมาเพิ่มทุนอีก ตรงนี้เป็นประโยชน์มาก
เพราะฉะนั้นตอนที่วิกฤตยังมีตัวยาจากเมืองจีนที่มาช่วย
Christine Tan : หลัง
จากวิกฤตแล้ว เมื่อตอนที่รู้สึกธุรกิจเริ่มดีขึ้น
เกิดมีเหตุการณ์ไข้หวัดนกขึ้นมาและในฐานะที่เป็นผู้ผลิตไก่รายใหญ่ที่สุดของ
ประเทศในแถบเอเซียและหุ้นของท่านก็ตกหวบเพราะมีข่าวเรื่องไข้หวัดนก
เหตุการณ์ในตอนนั้นฟาร์มของท่านประสบปัญหาไข้หวัดนกหรือไม่และท่านพยายามหา
วิธีการป้องกันอย่างไร เพื่อไม่ให้ไข้หวัดนกระบาด
ท่านประธานธนินท์ :
ในตอนนั้น ที่เมืองจีนประสบปัญหาและเสียหายมากที่สุด
แต่ก็สามารถแก้ไขปัญหาและช่วยเหลือตัวเองได้
แทนที่จะเอากำไรมาช่วยเหลือตรงที่ขาดทุน ส่วนเมืองไทยบริหารได้ดีมาก
สามารถทำให้ทุกคนมั่นใจไก่ของซีพี ไม่ต้องห่วงว่าจะติดเชื้อ
และในการส่งออกไปยุโรป หรือ ญี่ปุ่น ก็ไม่ได้มีการขาดตอน
เพราะเปลี่ยนเป็นอาหารสำเร็จรูปทำให้สุก
สร้างความเข้าใจแก่ทุกคนว่าถ้าอุณหภูมิสูงเชื้อไข้หวัดนกตัวนี้ก็จะตายหมด
ดังนั้นที่การส่งออกไปยุโรปไปญี่ปุ่นจึงยังปกติ
แต่ไม่ใช่ไก่สดนะไก่สดตอนนั้นยังส่งออกไปไม่ได้
แต่นโยบายของเครือฯไดทำเรื่องไก่แปรสภาพมาเป็นระยะเวลานานแล้ว
เพราะฉะนั้นสะเทือนชั่วคราวและกลับส่งผลดีระยะยาว
เนื่องจากผู้บริโภคเชื่อถือ
ต่างประเทศก็เชื่อถือในตัวบริษัททำให้ขายดิบขายดี
Christine Tan : การ
ที่ท่านเข้าไปประเทศจีนในจังหวะที่ถูกต้องรู้สึกว่าเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่และ
เฉลียวฉลาดหลังจากที่เติ้งเสี่ยวผิงได้เริ่มนโยบายปฎิรูปเศรษฐกิจ
ในฐานะที่ท่านได้เป็นบริษัทแรกที่เข้าไปลงทุนยังประเทศจีน
ในตอนนั้นที่ท่านได้รับการสนับสนุนเชื่อถือจากรัฐบาลจีน
ท่านคิดว่าท่านได้รับการสนับสนุนและเชื่อถือจากรัฐบาลจีนมากน้อยแค่ไหนแล้ว
ท่านทำอย่างไรถึงจะเปิดประตูการค้ากับประเทศจีนได้ตอนนั้น
ท่านประธานธนินท์ :
ตอนนั้นสำคัญมาก เพราะซีพีเป็นคนแรกที่ไปสนับสนุนนโยบายของเติ้งเสี่ยวผิง
ซึ่งการที่เราได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนเนี่ยเพราะเราใช้นโยบายสาม
ประโยชน์คือเราทำอะไรทุกอย่างประเทศจีนต้องได้ประโยชน์ประชาชนจีนต้องได้
ประโยชน์และซีพีจะต้องได้ประโยชน์
ซึ่งสามประโยชน์เนี่ยขาดตัวนึงก็ไม่ได้เลย
ทำให้รัฐบาลจีนยิ่งประทับใจและเอาการพัฒนาการเลี้ยงสัตว์ไปพัฒนาประเทศจีน
ซึ่งรัฐบาลจีนเห็นด้วยว่าเกษตรกรจะต้องมีบริษัทรายใหญ่มาสนับสนุนการเงิน
ทรัพยากรและสนับสนุนเรื่องการตลาด
ตรงนี้สำคัญกว่าประเด็นที่ว่าเพราะเราเป็นรายแรก หากประเทศไม่ได้ประโยชน์
ประชาชนไม่ได้ประโยช แน่นอนเรามีประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว
เราก็รู้จักเติ้งเสี่ยวผิงดี จะสนับสนุนเรา เราก็อยู่ไม่ได้
ถ้าคนมองว่าบริษัทมาทำกำไรแต่ไม่ได้ทำประโยชน์
เราก็คงไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลและประชาชนฉะนั้นความสำเร็จที่แท้จริง
คือสามประโยชน์ซึ่งมาเป็นนโยบายหลักที่เราไปประเทศไหนก็ได้รับการต้อนรับ
เพราะประเทศได้ประโยชน์ประชาชนได้ประโยชน์ ซีพีถึงจะได้ประโชยน์
ซีพีเอาเทคโนโลยีไป ไม่ใช่ไปกอบโกย
แต่เราไปสร้างประโยชน์ซึ่งต้องแบ่งกันสามฝ่าย
Christine Tan : ใน
ตอนนั้นชาวนาจีนเข้าใจเรื่องการทำการเกษตรสมัยใหม่ได้แค่ไหนและก็ท่านประสบ
ปัญหาอะไรตอนนั้นที่เกษตรชาวจีนเข้าใจเรื่องการเกษตรสมัยใหม่
ท่านประธานธนินท์ : คือ
ในประเด็นนี้
คนทั่วไปมักจะเข้าใจผิดว่าเกษตรกรที่ไม่มีความรู้และซีพีใช้เทคโนโลยีใหม่
เข้าไป เกษตรกรจีนคงรับไม่ไหว
แต่ในทางตรงกันข้ามคือยิ่งไฮเทคยิ่งทำให้ง่ายขึ้นเหมือนกับกล้องถ่ายรูปที่
ไม่ต้องปรับอะไรเลย เพียงแต่คนถ่ายต้องจัดให้รู้จักตำแหน่งแล้วถ่ายไป
จึงถือเป็นเคล็ดลับของซีพีว่าซีพีไปที่ไหนก็เอาเทคโนโลยีที่ดีที่สุดของโลก
ไปด้วยทำให้เกษตรเข้าใจง่ายและปฏิบัติได้ง่ายแล้วก็สบายด้วย
ไม่ใช่ไปทำให้เกษตรกรที่ลำบากอยู่แล้วไปทำให้ลำบากมากยิ่งขึ้นไปตากแดดตากฝน
แต่ซีพีให้เกษตรกรเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูในห้องแอร์ไม่มียุงไม่แมลงวันใช้
เครื่องอัตโนมัติ ทำให้เกษตรกรทำงานเหนื่อยน้อยลง แต่ได้ผลผลิตสูง
คนทั่วไปจะไม่เข้าใจคิดว่าว่าประเทศที่ด้อยพัฒนาจะต้องใช้เทคโนโลยีที่ด้อย
พัฒนา
ยิ่งประเทศที่ด้อยพัฒนายิ่งต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยยิ่งไฮเทคจึงจะเหมาะ
สม
Christine Tan : การ
ที่ท่านเข้าไปเมืองจีนเป็นรายแรกทำให้ท่านได้ประโยชน์
จนทุกวันนี้ท่านมีส่วนแบ่งตลาดเกินกว่าครึ่งในตลาดจีน
ท่านเป็นห่วงหรือไม่ว่าในแง่ที่เศรษฐกิจจีนจะเกิดการชะลอตัวลง
และจะมีผลกระทบกับตัวท่านอย่างไรบ้าง
ท่านประธานธนินท์ : จีน
นั้น ถึงแม้ว่าจะชะลอตัวลงก็ดีกว่า 33 ปีที่ผ่านมาก
นอกจากนี้ประเทศจีนในปัจจุบันนี้
ประชาชนมีการศึกษาต้องการอาหารที่ทำให้สุขภาพดีและปลอดภัย
ซึ่งตรงกับจุดที่ซีพีถนัดและทำมาอยู่แล้ว 40 -50
ปีในขณะที่ชาวจีนเนี่ยยังไม่มีความรู้ตรงนี้ก็อาจจะเกิดการแข่งขันกันเฉพาะ
ในด้านของราคา และยังไม่ได้ดูถึงในด้านคุณภาพและประสิทธิภาพ
สุดท้ายของถูกกลายเป็นของแพง และก็ทำให้ประชาชนมีสุขภาพที่ไม่แข็งแรง
วันนี้เราได้รับการสนับสนุนที่ดี และตอนนั้นยังมีกำไรทั้ง ๆ
ที่เมืองจีนเพิ่งจะเปิดประเทศเงินตราต่างประเทศก็ไม่มีพื้นฐานการก่อสร้างก็
ไม่มี ซีพียังทำกำไรได้ วันนี้จีนพร้อมทุกอย่าง
ประชาชนเรียกร้องว่าคุณภาพของสินค้าต้องดี เนื้อไก่ต้องปลอดภัย
อาหารต้องไม่มีสารตกค้าง ทั้งนมทั้งเนื้อหมู นี่คือโอกาส
และตลาดก็ยิ่งใหญ่มาก เพราะอาหารเป็นสิ่งที่คนต้องรับประทานและประชากร
1,300 ล้านคน หากจำนวน 10 %ที่ร่ำรวยก็มีขนาดใหญ่เท่าญี่ปุ่น
กำลังซื้อก็ใหญ่เท่าญี่ปุ่น แต่ถ้า20
%ร่ำรวยกำลังซื้อก็ใหญ่เท่าประเทศอเมริกา ดังนั้นเราเป็นเบอร์ 1
และสินค้าของซีพีก็กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนชาวจีนว่ามีความปลอดภัย
คุณภาพดี ดังนั้นผมว่าเป็นโอกาสไม่ใช่สินค้าฟุ่มเฟื่อยที่ต้องประหยัด
แต่ปากท้องประหยัดไม่ได้ อาหารของซีพีก็ไม่ใช่ขายแพง
แต่เป็นของดีที่มีคุณภาพและราคาถูกอีกด้วย
Christine Tan : ประสบการณ์
ของท่านในประเทศจีนได้มาจากการที่มีการติดต่อทางการเมืองกับผู้นำของจีน
ท่านจะสูญเสียความสัมพันธ์บางอย่างตรงนี้ไปไหมในขณะที่จีนกำลังเปลี่ยนผู้นำ
ใหม่
ท่านประธานธนินท์ :
ต้องอธิบายอย่างนี้ ผมไม่มีเวลาที่จะไปทำความรู้จักพบปะผู้ใหญ่
แต่บังเอิญธุรกิจของซีพีเป็นปากท้องของประชาชนทุกระดับ
ผู้นำของจีนจะต้องเข้าใจเรื่องปากท้องของประชาชนและต้องผลิตอาหารให้เพียงพอ
กับความต้องการของประชาชนไม่อย่างนั้นรัฐบาลจะอยู่ไม่ได้
ซึ่งบังเอิญซีพีไปทำธุรกิจจเกือบครบทุกมณฑล
เหลือเพียงสองมณฑลที่ยังไม่ได้ไปลงทุน
เวลาเราลงทุนต้องมีการติดต่อโรงงานและขยายตลาดไปถึงหมู่บ้านซึ่งเรารู้จัก
ตั้งแต่ผู้ใหญ่บ้านกำนันจนไปถึงผู้ว่า จนไปถึงมณฑลก็รู้จักซีพี
คงลำบากถ้าเราไปขอพบ แต่ท่านอยากจะขอพบเข้ามาศึกษามาเรียนรู้
เราเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ตอนยังไม่พัฒนา ไม่ว่ารัฐบาลชุดไหน
ซีพีก็มีคนรู้จักตั้งแต่ครั้งที่เป็นนายอำเภอ เป็นผู้ว่า รู้จักกันมานาน
เพราะฉะนั้นเราไม่ได้อาศัยอิทธิพลของรัฐบาล เราอาศัย 3
ประโยชน์ที่ไปทำให้ประเทศเค้าได้ประโยชน์ประชาชนได้ประโยชน์แล้วซีพีถึงจะ
ได้ประโยชน์
Christine Tan : ถึง
แม้ว่าจะเกิดวิกฤตในยุโรปและการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอเมริกาก็ยังอ่อนแอ
แต่ก็รู้สึกว่าท่านยังตั้งความหวังไว้เกี่ยวกับการเจริญเติบโตทางธุรกิจ
ในทางปฎิบัติท่านจัดการกับปัญหาเรื่องการขึ้นราของวัตถุดิบ เช่น ถั่วเหลือง
ข้าวโพด แต่ในขณะเดียวกับเนื้อก็ราคาไม่ดี เพราะเกิดการผลิตมากเกินไป
ท่านประธานธนินท์ :
ตรงนี้มันเป็นปัญหาที่ต้องพบแน่นอน
เพราะพอมีกำไรทุกคนก็เลี้ยงมากขึ้นหรือวัตถุดิบสูงขึ้นราคาตามไม่ทันก็กำไร
น้อยลง
แต่อย่างไรก็ตามทางซีพียึดหลักว่าเราพยายามแปรสภาพให้เป็นอาหารมนุษย์ที่ขาย
ไปทั่วโลก
อย่างเช่นกุ้งก็มีเกี๊ยวกุ้งซึ่งเกิดจากการแปรสภาพไม่ใช่ขายกุ้งแช่แข็ง
ไก่ก็เป็นไก่ที่แปรสภาพแค่เอามาเข้าไมโครเวฟก็สามารถรับประทานได้แล้ว
ดังนั้นวิกฤตจะเกิดขึ้นอย่างไรก็ตามอย่างผมไปศึกษาข้อมูลประเทศอเมริกาคน
อเมริกาให้ความสำคัญกับเรื่องอาหาร 5 - 6% ไม่ว่าอาหารแพงก็ 5 - 6 %
ในเรื่องอาหารไม่ว่าคนจะมีเงินเดือนแค่ 100 บาทแต่ในเรื่องอาหารต้องใช้ 5 –
6 บาทแม้จะยากจนยังไงเรื่องปากท้องก็ต้องมาก่อนอย่างอื่นไว้ทีหลัง
ยุโรปก็ประมาณ 11 - 12 %
ดังนั้นในประสบการณ์ของผมเกิดวิกฤตอย่างไรก็ตามอย่างอื่นประหยัดได้
แต่เรื่องอาหารการกินเนี่ยต้องกิน
ต้องเหลือเงินไว้สำหรับใช้จ่ายเพื่อการรับประปาน ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพง
ถูกกว่าเรื่องซื้อรถยนต์
เรื่องฟุ่มเฟื่อยต้องหยุดชั่วคราวก่อนแต่ปากท้องเนี่ยหยุดไม่ได้
หยุดได้อย่างมาก 3 วันไม่กินข้าว
ดังนั้นจากประสบการณ์ของผมเนี่ยวิกฤตเราก็ดี
ตอนที่เศรษฐกิจดีเราก็ดีแต่ดีน้อยกว่าธุรกิจอื่น
แต่เราใช้การขยายไปมีตลาดในโลกนี้ 6,000 – 7,000 พันล้านคนซึ่งต้องกิน
ของใช้ยังหยุดชั่วคราวได้แต่ของกินเนี่ยหยุดไม่ได้
Christine Tan : ท่าน
ได้เพิ่มเป้าหมายการลงทุนใน 5ปีข้างหน้าเพิ่มอีก 50% เป็นจำนวนเงิน 2,400
ล้านสหรัฐฯ ท่านกำลังคิดจะลงทุนในโครงการอะไรบ้าง
และเงินส่วนใหญ่จะไปทางด้านซื้อบริษัทอื่นรึเปล่า
ท่านประธานธนินท์ :
คืออย่างนี้
ทางที่ซีพีกำลังลงทุนเต็มที่คือเรื่องอาหารสำเร็จรูปและการค้าปลีกและเรื่อง
ศูนย์อาหารและเกี่ยวกับพวกอาหารเปิดร้านย่อย หรืออย่างเช่นซีพีเฟรชมาร์ท
ซึ่งเรามีกำลังการผลิต เราต้องสร้างเครือข่ายในการตลาด
ซึ่งต้องควบคู่กับการผลิตไม่ใช่เราไปผลิตมาก ๆ
แต่ไม่รู้ว่าจะขายที่ไหนขายให้ใคร
สองเรื่องนี้เราต้องดำเนินการไปพร้อมกันและสำคัญอย่างยิ่งที่ซีพีประสบความ
สำเร็จ เราค้าปลีกทำไม เพราะค้าปลีกนั้นมีของกินมากกว่าของใช้
อย่างเช่นเซเว่นมีของกินมากกว่าของใช้ทั้งสดทั้งแห้งทั้งไม่ต้องเข้าตู้เย็น
มีจำนวนมากกว่าของใช้
ดังนั้นธุรกิจของซีพีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขยายไปทั่วโลกลงทุนไปทั่วโลก
อย่างเช่นวันนี้ซีพีกำลังจะไปสร้างโรงงานผลิตอาหารสำหรับคนที่ประเทศอเมริกา
แล้วขายกลับมายังเอเชียที่รสชาติและความต้องการตรงกับความต้องการของชาวเอ
เซีย แต่อเมริกาอาจไม่ต้องการและที่สำคัญราคาถูก
ต่อไปในโลกนี้ไม่ใช่เอเชียไปขายให้อเมริกาอย่างเดียว
แต่เอเชียจะต้องมีสินค้าขายไปยังอเมริกา เพราะเอเชียรวยขึ้นแล้ว
ซึ่งสมัยก่อนประเทศอเมริการวยมีกำลังซื้อ
แต่ในวันนี้เอเชียก็มีกำลังซื้ออย่างเช่นประเทศจีนก็มีเงินตราต่างประเทศมาก
และมีเงินตราต่างประเทศที่สะสมอยู่เป็นที่ 13
ของโลกยังมากกว่าฝรั่งเศสต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เอาแต่สินค้าเอเชียไปขายยุโรป
ผมจะตั้งโรงงานผลิตใช้เครื่องอัตโนมัติ
ใช้คนน้อยที่สุดเพื่อผลิตสินค้าที่ชาวเอเชียต้องการขายส่งไปประเทศอเมริกา
และขายกลับมายังทวีปเอเซีย
Christine Tan : ใน
ขณะที่ประเทศอเมริกาและประเทศยุโรปเศรษฐกิจยังไม่แข็งแรงได้ทำให้เกิดมี
โอกาสที่ท่านจะเข้าไปซื้อทรัพย์สินในราคาถูกอะไรบ้างที่ท่านคิดว่าอยากจะ
เข้าไปซื้อ
ท่านประธานธนินท์ : คือ
อย่างนี้ครับ
ถ้าซีพีไปซื้อหรือไปร่วมลงทุนเราจะต้องหาธุรกิจที่ดีมีทีมงานที่ดีที่เก่ง
ไม่ได้ซื้อทั้งบริษัทแล้วเอาคนไทยไปบริหาร ผมยังไม่มีคนผมดำไปบริหารคนผมแดง
เรายังไม่ถึงขั้นนี้ แต่ผมจะไปเข้าหุ้น ไปลงทุนในบริษัท
และไปซื้อสินค้าของเขามาแปรสภาพแล้วก็สร้างโรงงาน
ถ้าโรงงานเขามีความสามารถที่จะผลิตอาหารเอเชียให้ผม
แล้วผมก็เอามาขายยังเอเซียและประเทศอเมริกา อย่างคาร์ฟูร์ผมไม่ได้ซื้อ
ผมไปลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่รายหนึ่งในคาร์ฟูร์เพื่อจะนำสินค้าในเอเชียไป
ผ่านเครือข่ายในการขายสินค้าของคาร์ฟู
หรือคาร์ฟูร์มาลงทุนในเอเชียผมมีโอกาสสนับสนุน
นโยบายของซีพีเป็นอย่างนี้ครับ อย่าเรียกว่าไปซื้อ
เรียกว่าไปร่วมลงทุนเลยดีกว่า ร่วมงานกับคนเก่ง
แล้วก็ไปกับเขาและก็เสริมซึ่งกันและกันได้ประโยชน์ทั้งคู่แต่อย่าเข้าใจผิด
ว่าไปซื้อคาร์ฟูร์ แค่ไปร่วมลงทุนลงหุ้นกับเขา
Christine Tan : นอกจากคาร์ฟูร์และสมิทฟิลด์แล้วท่านยังคิดที่จะร่วมทุนอย่างอื่นด้วยไหม
ท่านประธานธนินท์ : คือ
อะไรที่เราไปร่วมแล้วได้ประโยชน์ ผมก็กำลังศึกษาอยู่
เราไปร่วมกับเขาแล้วเราต้องทำประโยชน์ให้กับเขา
และในเวลาเดียวกันซีพีก็ได้ประโยชน์ด้วย อย่างนี้ผมถึงจะไปร่วม
ไม่ใช่ว่าไปร่วมกับบริษัทที่ไม่สำเร็จ
ผมจะร่วมกับบริษัทที่สำเร็จและที่สำคัญที่สุดต้องมีทีมงานที่บริหารที่เก่ง
ผมถึงจะไปร่วมนะครับ อย่างคาร์ฟูร์เนี่ยมีประธานบริษัทที่เก่งมาก
ผมเห็นว่าเขาบริหารคาร์ฟูร์จะต้องได้ผลกำไรฟื้นกลับมาแน่นอนและก็กำไรดีมาก
ไป เราต้องอาศัยคนเก่งในคาร์ฟูร์หรืออาศัยคนเก่งใน Smithfield
Christine Tan : ขอให้ท่านชี้แจงให้ชัดเจนว่าท่านจะไม่ได้เข้าไปซื้อคาร์ฟูร์
ท่านประธานธนินท์ : ใช่
ผมไม่ได้จะเข้าไปซื้อคาร์ฟูร์
แต่จะแค่เข้าไปซื้อหุ้นจำนวนส่วนหนึ่งของคาร์ฟูร์เท่านั้น
ไม่ได้ซื้อหุ้นทั้งหมดของคาร์ฟูร์
คือเราจะไม่เปิดเผยในข้อมูลส่วนนี้เพราะมันเป็นเรื่องมารยาทและเรื่องการ
ตลาด แต่เรามีนโยบายว่าจะไปลงทุนคือเป็นผู้ถือหุ้นส่วนหนึ่งของคาร์ฟูร์
Christine Tan : ท่านกำลังคิดว่าจะซื้อสักเท่าไหร่
ท่านประธานธนินท์ : ถ้า
ดีที่สุดจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่หรือไปเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ส่วนหนึ่งในผู้ถือ
หุ้นที่มีอยู่ คือเราจะไม่เด่น ต้องเข้ากับผู้ถือหุ้นใหญ่ในปัจจุบัน
ต้องดูว่าเขาต้อนรับเราเข้าไปไหม ต้องการจะให้เราถือหุ้นเท่าไร
เพราะเราไม่ได้จะไปเทคโอเวอร์
เราแค่จะไปร่วมกันทำให้ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งสองฝ่าย
ไม่ใช่เราได้ฝ่ายเดียว
ถ้าเขาเห็นว่าเราเข้าไปร่วมทุนแล้วเขาได้ประโยชน์และซีพีก็ได้ประโยชน์ก็
แล้วแต่ว่าผู้ถือหุ้นเดิมรึผู้ถือหุ้นใหม่จะให้เราเท่าไหร่นี่เป็นนโยบายของ
ผม ว่าจะไม่ไปเทคโอเวอร์ ขอให้ชัดเจนในจุดนี้
Christine Tan : ดังนั้นการที่ท่านได้แสดงเจตนาว่าจะไปร่วมลงทุนกับคาร์ฟูร์อันนี้คิดว่าได้รับการต้อนรับจากนักลงทุนรายอื่นหรือไม่ในคาร์ฟูร์
ท่านประธานธนินท์ : ยัง
ไม่ถึงเวลาที่จะเปิดเผย
คือถ้า
หากทางผู้ถือหุ้นเดิมหรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไม่ต้อนรับเรา
เราก็จะไม่ไปเข้าร่วมหุ้น เราเข้าไปเป็นมิตรกันเป็นเพื่อนกัน
ไม่ใช่เข้าไปควบคุม
Christine Tan : ท่าน
ผลิตอาหารและส่งอาหารไปขายใน 40กว่าประเทศในวันนี้
เรื่องความปลอดภัยของอาหารนี้เป็นเรื่องใหญ่ท่านมีนโยบายในด้านนี้อย่างไรใน
เมื่อตอนนี้ทุกอย่างไปเน้นในเรื่องของการทำกำไร
แล้วก็ทำให้ฟาร์มไม่เอาเทคโนโลยีสูง ๆ ไปทำเพราะมีการลงทุนจำนวนมาก
เรื่องความสนใจของท่านกับเรื่องความปลอดภัยของอาหารมีขนาดไหน
ท่านประธานธนินท์ : สำคัญ
ที่สุดคืออาหารปลอดภัย
โดยเฉพาะกับประเทศที่กำลังพัฒนาเพราะประเทศที่กำลังพัฒนา
ไม่ได้เกิดจากการเลี้ยง การผลิตไปถึงขั้นสุดท้าย
อย่างประเทศที่เจริญแล้วเลี้ยงสุกรก็ต้องมีฐานะและมีฟาร์มที่ทันสมัย
ทุกอย่างทำถูกต้อง ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วต้องเป็นเช่นนี้
ตรงนี้แหละที่เป็นจุดเด่นของซีพี ซีพีจะไปประเทศไหนก็ตาม
ยิ่งในประเทศที่ด้อยพัฒนา ประเทศด้อยพัฒนาเพราะขาดแคลนคนเก่ง
ไม่เข้าใจการเลี้ยง ไม่มีความสามรถในการเลี้ยงไก่พันธุ์ หมูพันธุ์
ไม่มีทุนที่จะไปเลี้ยงไก่ที่ทันสมัยซึ่งต้องลงทุนสูง แต่จริง ๆ
แล้วถ้าไฮเทคจะเกิดสองสูง ยิ่งการลงทุนสูงประสิทธิภาพก็จะยิ่งสูง
ทำให้ต้นทุนถูกและคุณภาพดี
กลายเป็นต้นทุนถูกซึ่งซีพีมีความสามารถในการส่งเสริมเกษตรกร
อะไรที่เกษตรกรเลี้ยงอะไรที่ซีพีทำได้แบ่งหน้าที่กัน
สิ่งซีพีทำอย่างเช่นการค้นคว้าศึกษาต้องเป็นหน้าที่ของซีพี
ตอนที่เลี้ยงซีพีไปสนับสนุนเกษตรกรในการเลี้ยงทุนเงินเทคโนโลยีความรู้และ
ตลาด ซีพีเป็นคนทำเรื่องไฮเทค
เรื่องแปรสภาพซีพีเป็นคนทำแล้วก็ไปถึงเรื่องการขนส่งการขายการตลาด
เพราะฉะนั้นเราควบคุมได้ทุกขั้นตอนถึงจะมีความปลอดภัยไม่เสี่ยงในเรื่อง
อาหารไม่มาตรฐาน
Christine Tan : ท่าน
มีจุดยืนอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องการใช้ฮอร์โมนเพื่อเร่งการเจริญเติบโตกับการ
ที่ใช้แอนตี้ไปโอติก
ซึ่งบางคนบอกว่าการใช้ยาปฎิชีวนะไม่ดีต่อสุขภาพต่อสัตว์และคนในระยะยาว
ท่านประธานธนินท์ : สำคัญ
ที่สุดคือ
ถ้าหากว่าเราสร้างโรงเรือนทันสมัยให้ไก่และสุกรอยู่อย่างมีความสุข
สุกรและไก่ก็จะไม่เป็นโรคไม่ป่วย ก็ไม่ต้องใช้ยา
ประหยัดทั้งเงินและในเรื่องเนื้อหมูเนื้อไก่ก็ปลอดภัย
ดังนั้นการใช้ยานี่ล้าสมัยไปแล้วโดยเฉพาะฮอร์โมนนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย
ประเด็นสำคัญอยู่ที่พันธุ์กับอาหารและต้องไปค้นคว้าที่พันธุ์ให้อาหารที่
เหมาะสมกับพันธุ์ส่วนยาปฎิชีวนะถ้าเลี้ยงไก่และสุกรแข็งแรงก็ไม่ต้องใช้ยา
Christine Tan : ใน
เวลานี้ท่านถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่รวยที่สุดในประเทศไทยโดยมีมูลค่าถึง
9,000 ล้านเหรียญสหรัฐและเป็นบุคคลที่รวยเป็นอันดับ134
ของโลกความสำเร็จของท่านขึ้นอยู่กับโชคหรือขึ้นอยู่กับการทำงานที่ขยันขัน
แข็ง
ท่านประธานธนินท์ : ความ
สำเร็จของเครือซีพีคือการใช้เทคโนโลยีมาตลอด
และก็เรื่องสามประโยชน์ซึ่งเป็นหลักของเครือซีพี
และการสนับสนุนคนเก่งในเครือซีพี ความสำเร็จที่เกิดขึ้นไม่ใช่ฟลุค
แต่เกิดจากความร่วมมือกันของพนักงานในเครือซีพีและเราเข้าใจไปลงทุนในประเทศ
ที่กำลังพัฒนา และประเทศเหล่านี้ต้องการที่จะมีอาหารโปรตีน
ซึ่งซีพีเข้าใจมากกว่าว่าประเทศที่กำลังพัฒนาต้องการใช้เทคโนโลยีเข้าไป
ไม่ใช่ยิ่งประเทศที่ด้อยพัฒนายิ่งเอาเทคโนโลยีที่ด้อยพัฒนาเข้าไป
ซึ่งมันจะยิ่งทำให้ไม่ประสบความสำเร็จไปให้เกษตรกรทำงานเหน็ดเหนื่อยเป็นไป
ไม่ได้แต่ต้องให้เกษตรกรทำงานสบายกว่าเดิม
มีประสิทธิภาพกว่าเดิมและมีรายได้มากกว่าเดิม ถึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ
ดังที่เป็นตัวอย่างในหลายประเทศ
เราลงทุนใน14ประเทศรัฐบาลให้การสนับสนุนและเห็นด้วยกับสามประโยชน์ของซีพี
และยอมรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ
เข้าไปในประเทศแล้วก็แบ่งผลประโยชน์กันคือซีพีได้ประโยชน์เกษตรได้ประโยชน์
ผู้บริโภคได้ประโยชน์ประเทศชาติได้ประโยชน์ ซีพีก็ได้ประโยชน์ไปด้วย
และซีพีก็อยู่ใน14ประเทศที่มีประชากร 3,000 กว่าล้านคน
แล้วซีพียังมีธุรกิจมีสาขาอยู่ในประเทศอเมริกา อังกฤษ
ฝรั่งเศสในเยอรมันในประเทศที่มีกำลังซื้อเรามีสาขาทุกประเทศที่จะนำสินค้า
ของซีพีไปขาย
Christine Tan : CNBC
จะให้รางวัลท่านเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จในชีวิตของท่านรางวัล
ท่านมีความเห็นข้อคิดเห็นที่ท่านจะให้กับคนอื่นเกี่ยวกับเรื่องความสำเร็จใน
การทำธุรกิจอย่างไรบ้าง
ท่านประธานธนินท์ : คือ
ผมพูดมาตลอดว่าธุรกิจที่จะสำเร็จได้ต้องทำอย่างไรให้ได้ 3 ประโยชน์
นี่แหละที่เป็นความสำเร็จของซีพีและอีกตัวหนึ่งคือต้องรู้จักการใช้
เทคโนโลยีใหม่ของโลกทั้งในด้านการลงทุนและการพัฒนาธุรกิจ
และต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง เช่น
ซีพีจะไปลงทุนการผลิตอาหารสำเร็จรูปในประเทศอเมริกา
ต้องรู้ว่าค่าแรงงานอเมริกาสูง จะไปลงทุนได้อย่างไร
นี่คือความสำเร็จของซีพี ซีพีมีวิสัยทัศน์ที่เห็นก่อนคนอื่น
เช่นวันนี้มีเทคโนโลยีไฮเทค
เรามีสินค้าหลายตัวไม่ต้องใช้คนเลยใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ
เหมือนวันนี้เราเลี้ยงไก่ คนอเมริกาคนหนึ่งเลี้ยงไก่ได้แสนตัว
เราก็ต้องเลี้ยงแสนตัว วันนี้เลี้ยงไก่ไข่ 4 -5
แสนตัวซีพีอยู่ในประเทศด้อยพัฒนาแต่ก็สามารถเลี้ยงได้
ดังนั้นอย่าเข้าใจผิดว่าประเทศที่ด้อยพัฒนาต้องทำธุรกิจที่ด้อยพัฒนา
ต้องเข้าใจใหม่ด้วยว่าพวกการเกษตรต้องยิ่งใช้เทคโนโลยีไฮเทคเข้ามาใช้เข้ามา
ลงทุนในประเทศที่กำลังพัฒนา นี่แหละคือความสำเร็จ
Christine Tan : ใน
ฐานะที่ท่านเป็นกำลังสำคัญที่จะขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจในประเทศไทย
ท่านจะอธิบายเกี่ยวกับคุณภาพการเป็นผู้นำของท่าน
และวิธีการบริหารของท่านเป็นอย่างไร
ท่านประธานธนินท์ : คน
เป็นผู้นำนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรู้จักให้ และส่งเสริม
สำหรับนั้นซีพีวันนี้ทุกบริษัทต้องมีองค์กรที่ให้ความรู้พนักงานแต่ยังไม่พอ
วันนี้เรากำลังหาระดับโลกเพื่อมาพัฒนาคนของซีพีให้สามารถก้าวทันโลกได้
และทำอย่างไร ไปเรียนรู้จากบริษัทใหญ่ ๆ ที่ประเทศอเมริกาที่ยุโรป
เราต้องยอมรับว่าในเรื่องการบริหารการจัดการของโลกนั้นที่เก่งที่สุดใน
วันนี้คือประเทศอเมริกา รองลงมาก็คือประเทศยุโรป
เพราะมีประวัติศาสตร์ตั้งหลายร้อยปี เมืองไทยก็ยังไม่ถึงร้อยปี
แล้วเพิ่งเริ่มทำธุรกิจใหญ่ ๆ ก็ไม่ถึง 10 ปี
ตรงนี้ต้องยอมรับว่าซีพีเรียนรู้จากบริษัทที่ประสบความสำเร็จในสังคม
ซึ่งจะต้องเป็นประโยชน์ต่อผู้นำที่จะนำเอาเครือฯไปสู่ความสำเร็จ
สำคัญที่สุดคือคน ต้องคนเก่ง ในซีพีคนเก่งเราสร้างได้อย่างไร
ต้องให้เกียรติกับคนเก่ง
ให้อำนาจและให้เงินที่เหมาะสมกับสังคมและหน้าที่ของเขา
สามตัวนี้ต้องไปพร้อมกันและสำคัญที่สุดซีพีมีนโยบายมานานแล้วว่าคนเก่งที่
สุดในโลกนี้เป็นของซีพี เงินของในโลกนี้เป็นของซีพี
วัตถุดิบในโลกนี้เป็นของซีพี ตลาดในโลกนี้เป็นของซีพี
ซีพีถึงจะมีโอกาสยิ่งใหญ่และไปขยายได้ทั่วประเทศ
Christine Tan : ตอน
นี้ท่านก็มีอายุ 73 ปีแล้ว ท่านก็มีลูกชาย 3
คนที่มีการศึกษาสูงและยังทำงานกับเครือของท่านอยู่
ท่านจะมีแผนเกี่ยวกับการผ่อนถ่ายอำนาจหน้าที่ให้กับลูกชายอย่างไร
ท่านประธานธนินท์ : คือ
เรื่องนี้
ผมให้ลูกผมเป็นตัวแทนของผู้ถือหุ้นและไม่ต้องลงมาทำธุรกิจเพียงแต่อยู่ข้าง
บนดูแลเรื่องการเงินและบุคคล และต้องให้คนเก่งของแต่ละบริษัทเป็นผู้บริหาร
และก็ใช้คนเก่งให้ยิ่งมากขึ้น อย่างซีพีเอฟเราก็ใช้มืออาชีพใช้คนเก่ง
ซีพีออล์ก็เหมือนกัน ต่างประเทศก็เหมือนกัน ส่วนลูกของผมนั้น
ให้ทำธุรกิจที่เครือยังไม่เคยทำ อย่างเช่น ค้าปลีก อย่างเช่นโลตัส
ตอนนั้นลูกชายคนที่สอง
ส่วนโทรศัพท์กับเรื่องเคเบิ้ลทีวีทีวีดาวเทียมก็ลูกชายคนที่หนึ่งและคนที่
สองทำ ตรงนี้เป็นประโยชน์มากถ้าเขาทำสำเร็จ เขามีความสามารถแล้วเขามาบริหาร
แต่ไม่ใช่ไปบริหารแทนบริษัทที่สำเร็จแล้วเพราะที่สำเร็จเพราะมีคนเก่งจึง
ต้องพัฒนาคนเก่งขึ้นมา ถ้าลูกชายผมเก่งต้องไปสร้างอาณาจักรใหม่
ถ้าสร้างไม่ได้ก็ให้อยู่เฉย ๆ ดีกว่าไปบริหาร
ซีพีเอฟซีพีออลล์หรือธุรกิจอื่น ๆ เช่น ปิโตรเคมี ฯลฯ ไม่มีประโยชน์
มีแต่ทำให้เสียหาย นี่คือความสำเร็จของซีพีอีกเรื่องหนึ่ง
ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ก็เห็นด้วยที่ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแทนผม
ไม่ใช่ไปบริหารทุกบริษัท
แต่ต้องส่งเสริมทุกบริษัทเพียงแต่เข้าไปดูแลเรื่องการเงินเรื่องกฎหมาย
เรื่องบุคคล ไม่เข้าไปก้าวก่ายการบริหารการจัดการ
Christine Tan : เวลาท่านเกษียนแล้ว ท่านออกไปแล้วคนที่จะเข้ามาบริหารต่อก็จะเป็นมืออาชีพที่ท่านจะต้องมีส่วนวางแผนด้วยหรือไม่
ท่านประธานธนินท์ : ตอน
นี้เราพูดชัด
และทางครอบครัวก็วางแผนให้ผมเป็นคณะกรรมการบริหารงานอยู่เบื้องบน
ไม่ลงมาบริหารบริษัทที่สำเร็จแล้ว มีแต่สนับสนุนและพัฒนา ตอนนี้เราจ้าง
ดร.โนเอล ทิชชี่
เรากำลังสร้างโรงเรียนที่จะหมุนเวียนเอาคนเก่งในแต่ละบริษัทมาหมุนเวียน
แล้วคัดคนเก่งออกมาเป็นประธานบริษัทมาบริหาร ต่อไปเราจะมีซีอีโออยู่สองคน
คนหนึ่งคือเป็นซีโอที่มาดูแลจัดการทรัพย์สมบัติและผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น
ใหญ่ กับอีกคนคือประธาน ประธานนั้นทำหน้าที่อะไร
คือกฎหมายกับบุคคลและก็การเงิน ซึ่งสามส่วนนี้(กฏหมาย บุคคล
และเงิน)มีทางครอบครัวเป็นคนดูแล
ส่วนบริษัทที่บริหารอยู่เราจะคัดหาคนเก่งมาบริหารธุรกิจ
Christine Tan : แล้วท่านได้ค้นพบคนที่จะบริหารงานแทนท่านหรือยัง
ท่านประธานธนินท์ : ใน
ส่วนนี้มีพร้อมหมดแล้วและมีทั้งคนที่จะทดแทนด้วยจากกลุ่มซีพีออล์ ซีพีเอฟ
ทรู จากกลุ่มเหล่านี้เราได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว
แต่กำลังหาคนที่จะมาดูแลทั้งหมดในการบริหาร ขณะนี้กำลังสร้างคน
โดยให้คนจากหลายบริษัทที่ไม่เคยรู้จักกันมาสัมผัสกันมาเข้าใจกันเพราะธุรกิจ
ของเรามีทั้งโทรศัพท์มีทั้งทีวีและมีทั้งอินเตอร์เน็ต ยา รถยนต์
มอเตอร์ไซต์ ค้าปลีก และห่วงโซ่อาหาร ปุ๋ย
ซึ่งได้ทำการศึกษาสำเร็จแล้วเพียงแต่ว่าทำอย่างไรจะหาคนขึ้นมาดูแลทุกกลุ่ม
Christine Tan : คนนี้คือใคร
ท่านประธานธนินท์ : คนนี้กำลังหาอยู่ แต่จะพยายามหาคนที่ทำงานอยู่ในเครือฯ
Christine Tan : ท่านอายุ 73 ปีแล้ว ท่านเคยพูดหลายครั้งแล้วว่าจะเกษียนอันนี้ เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้หรือไม่
ท่านประธานธนินท์ : คือ
อย่างนี้ ความจริงตั้งเป้าไว้ว่าจะเกษียนอายุ 55 ปี
วันนี้ผมเปลี่ยนวิธีใหม่คือต้องทำงานให้น้อยลง คือการทำงานเหลือครึ่งวัน
ให้ยืดอายุมากขึ้น แต่ผมยังทำไม่ได้นะครึ่งวัน แต่ผมต้องทำให้ได้
แล้วก็พยายามให้คนเก่งที่มีอยู่ทำไป แล้วความจริงตอนนี้ผมทำหน้าที่อะไร
หน้าที่ของผมคือทำอะไรที่ใหม่ ๆ โลกกำลังเปลี่ยนแปลง นี่คือหน้าที่ของผม
เพราะคนต้องมีอำนาจเต็มที่ถึงจะทำได้ ซึ่งทุกวันนี้เราเรียนรู้จากหลายฝ่าย
การเปลี่ยนแปลงจะต้องกิดจากคนที่มีอำนาจสูงสุดพอเปลี่ยนแปลงตรงนี้แล้ว
ผมเชื่อว่าเครือก็เริ่มจะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
Christine Tan : หลังจากที่ท่านเกษียนจริงๆ แล้ว ท่านคิดว่าจะมีแนวทางในการพักผ่อนหย่อนใจหรืออยากจะทำอะไรได้เข้าว่าท่านชอบไก่ชน
ท่านประธานธนินท์ : ผม
ชอบดูไก่ชนเพื่อที่จะไปส่งเสริมให้กับชาวบ้านที่ยากจน แต่ที่ผมชอบจริง ๆ
คือนกพิราบ แต่ผมแพ้ฝุ่นนก ทุกวันนี้ก็พยายามถ้าไปดูนกก็ให้เขาจับมาให้ดู
แต่คิดว่าคงออกกำลังกายมากกว่า อย่างตีไก่ประมาณอาทิตย์ละครั้ง
แต่บางทีเดือนสองเดือนยังไม่เคยไปดูตีไก่
สำหรับผมนั้นถ้าทำอะไรที่ไม่มีประโยชน์ผมจะทำเงียบ ๆ
แต่อย่างเรื่องตีไก่สังคมได้ประโยชน์คือสถานที่ตีไก่เนี่ยเป็นสถานบันเทิง
ของชาวนา เป็นตลาดหลักทรัพย์ของชาวนา ชาวนาไม่มีคาราโอเกะ ไม่มีสปา
เพราะฉะนั้นวันเสาร์อาทิตย์เขาก็จะมาแลกเปลี่ยนความรู้
เอาไก่มาชนตัวที่ชนะก็ได้ราคาแพงหน่อยสิบเท่ายี่สิบเท่าร้อยเท่า
ผมกำลังสร้างให้คนเลี้ยงไก่ ถ้าเค้ามีสวน
อย่างสวนยางสวนผลไม้ก็เลี้ยงแล้วกินเอง ตีไก่เนี่ยไม่ใช่เป็นหลัก
แต่ถ้าฟลุคก็มาขายตัวเป็นหมื่นเป็นพัน
ที่เหลือเค้าก็กินเองเอาตัวนี้มาล่อให้เค้าไปเลี้ยงไก่
แล้วสุดท้ายก็ทำให้เขามีทั้งโปรตีนจากการเลี้ยงไก่เป็นอาหารประหยัดรายจ่าย
ก็เท่ากับเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร
สำคัญที่สุดผมไปเปลี่ยนแปลงเรื่องการทรมานสัตว์ถ้าไม่ไปเปลี่ยนแปลงต่อไปพวก
อนุรักษ์ก็มาให้ปิดก็เสียดายเพราะเป็นประต่อชาวสวนชาวไร่ผมเลยต้องไปเปลี่ยน
แปลงให้การตีไก้ต้องใส่นวม มียกเหมือนนักมวย เหมือนคน
ตรงนี้แหละถึงจะอยู่ได้นานเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น