ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid
ทั้งนี้ บริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานภายในโดยรวม 3 ธุรกิจของเอสซีจี ได้แก่ ซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่ายเข้าด้วยกัน เรียกว่าเอสซีจีซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง (SCG Cement-Building Materials) เพื่อเพิ่มการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการมากขึ้น
"จะมุ่งเน้นลงทุนธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพราะอนาคตจะเติบโตมาก ปีที่ผ่านมาธุรกิจนี้มียอดขายรวม 154,537 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36% ของรายได้รวม มีกำไรสุทธิรวม 13,129 ล้านบาท อีก 5 ปีข้างหน้าสัดส่วนรายได้รวมของธุรกิจนี้จะเพิ่มเป็นมากกว่า 40% ของรายได้จากการขายรวมทั้งหมด"
สำหรับทิศทางธุรกิจซีเมนต์ในอาเซียนไปได้ดีเติบโต 5-10% เนื่องจากมีการก่อสร้างโครงการที่อยู่อาศัยและอินฟราสตรักเจอร์ของภาครัฐ ตลาดในประเทศอินโดนีเซียธุรกิจตลาดซีเมนต์โต 10% ธุรกิจเซรามิกก็ดีมาก สามารถเดินเต็มกำลังการผลิตเต็มที่ ขณะที่เมียนมาร์ตลาดโตขึ้น 5-10% บริษัทมียอดขายซีเมนต์ถึง 1.8 ล้านตัน ส่วนเวียดนามตลาดทรงตัว ฟิลิปปินส์ธุรกิจเซรามิกก็ไปได้ดี แต่ที่ทำยอดขายได้ดีมากคือกัมพูชา ทั้งซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง
"ปี"58 กำลังการผลิตปูนซิเมนต์ในตลาดอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านตัน จากเดิมอยู่ที่ 23-24 ล้านตัน อยู่ที่ประเทศไทย 23 ล้านตัน และเขมรอีก 1 ล้านตัน จะเน้นขายในประเทศเป็นหลัก ส่วนส่งออกจะลดลง คาดว่าจะไม่ถึง 5 ล้านตัน"
นายกานต์กล่าวว่า ปีนี้ประเมินว่าตลาดประเทศไทยจะมีความต้องการใช้ซีเมนต์เติบโต 5-10% จากเดิมกว่า 30 ล้านตัน เนื่องจากมีการสร้างที่อยู่อาศัย โครงการใหญ่ของรัฐ เช่น รถไฟฟ้า หากมีการก่อสร้างโครงการลงทุน 2 ล้านล้านบาท จะทำให้ความต้องการใช้ปูนและวัสดุก่อสร้างในตลาดเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน เอสซีจีมีกำลังการผลิตพอรองรับ หากไม่พออาจจะนำเข้ามาจากโรงงานผลิตที่
เมียนมาร์และกัมพูชามาแทน
"ตลาดซีเมนต์ในไทยตอนนี้ต่างจังหวัดโตมากสุด ไตรมาสแรกที่ผ่านมาสัดส่วนขายอยู่ที่ 75% สูงสุดอยู่ที่ภาคอีสาน 30% โตตามธุรกิจอสังหาฯที่ไปเปิดโครงการใหม่เพิ่ม แต่ถึงความต้องการจะมากขึ้น และต้นทุนเพิ่มขึ้นเอสซีจียังไม่มีนโยบายจะปรับราคาขายปูนซีเมนต์ในขณะนี้ ปล่อยให้เป็นไปตามการแข่งขันและกลไกตลาด"
ทั้งนี้ หลังได้เข้าถือหุ้นใน Prime Group Joint Stock Company หรือ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำของเวียดนาม 85% มีมูลค่าธุรกิจประมาณ 7,200 ล้านบาท ส่งผลให้เอสซีจีมีกำลังการผลิต
เซรามิกรวมทั้งหมด 225 ล้านตารางเมตร เป็นอันดับ 1 ของโลก โดย 48% อยู่ในไทย เวียดนาม 33% อินโดนีเซีย 14% และ 5% อยู่ในประเทศฟิลิปปินส์
"นอกจากนี้ ในปีนี้บริษัทมีแผนจะทำการตลาดเชิงรุกธุรกิจชุดครัว หรือ Kitchen Solution มากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจใหม่ของบริษัท รวมถึงตลาดห้องน้ำ กระเบื้อง ฝ้าและเพดาน เป็นต้น" นายกานต์กล่าว
ด้านนายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่การเงินและการลงทุนเอสซีจี เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปีนี้เตรียมเม็ดเงินประมาณ 100 ล้านบาท ซื้อเครื่องจักรมาผลิตชุดครัว เช่น ตู้ จากเดิมจะทำตลาดไม่มาก และเน้นติดตั้งเป็นหลัก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น