วันที่ 23 เมษายน 2556 06:00
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ที่มาhttp://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business
นายเอกพล พงศ์สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทิปโก้ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2556 ปรับแผนธุรกิจโดยหันมาโฟกัสกับตลาดในประเทศเป็นหลัก ด้วยการเน้นการทำตลาดกลุ่มน้ำผลไม้แท้ 100% หลังจากพิจารณาแล้วพบว่าตลาดนี้ยังขยายตัวได้อีกมาก เนื่องจากข้อมูลระบุว่า คนไทยบริโภคน้ำผลไม้แท้ 100% เพียง 4 ลิตรต่อคนต่อปี ยังมีช่องว่างเมื่อเทียบกับอัตราการบริโภคในญี่ปุ่นและเกาหลี ที่สูงถึง 20 ลิตรต่อคนต่อปี ขณะที่ในแคนาดา บริโภคสูงสุดถึง 50 ลิตรต่อคนต่อปี
นอกจากนี้ การหันมาให้ความสำคัญกับตลาดในประเทศ ยังเป็นส่วนหนึ่งของการปรับตัวรับสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องด้วย แม้ว่าขณะนี้ยังไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจมากนัก เนื่องจากทิปโก้นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเพียงบางส่วน ทำให้จัดการความสมดุลของต้นทุนสำหรับการส่งออกได้ ส่วนการจำหน่ายในประเทศก็ยังคงตรึงราคาเดิมไว้อยู่ โดยขนาดกล่องใหญ่ 1 ลิตร กำหนดราคา 69 บาท และกล่องเล็ก 200 มล. ราคา 18 บาท
นายเอกพล กล่าวว่า ใช้งบกว่า 500 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 20-30% สำหรับทำตลาดกลุ่มน้ำผลไม้แท้ 100% โดยมุ่งเน้นไปที่การขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น และสร้างเข้าใจเกี่ยวกับน้ำผลไม้แท้ 100% ให้ความสำคัญในเรื่องคุณภาพสินค้าและความแตกต่างจากแบรนด์อื่นในท้องตลาด ล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ “285 ล้านลูกต่อปี ทิปโก้คั้นสด เพื่อความสดชื่นของคุณ” เพื่อสร้างการรับรู้ในการคัดเลือกผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพจากเกษตรกรไปสู่ผู้บริโภค โดยเดินสายแจกสินค้าทดลองชิม 1 ล้านกล่องทั่วประเทศ
ทั้งนี้ คาดว่ากลุ่มน้ำผลไม้ 100% จะมีรายได้เติบโต 10-13% ขณะที่มูลค่ารวมตลาดน้ำผลไม้ 100% อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท และทิปโก้ครองส่วนแบ่งสูงสุด 43% ห่างจากอันดับ 3 ที่ครองสัดส่วนอยู่ 20% และอันดับ 3 มีส่วนแบ่งประมาณ 10%
ขณะที่รายได้ของบริษัทฯ ภายในปีนี้ ตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า 13% จาก 5,500 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มเครื่องดื่มน้ำผลไม้ น้ำดื่ม และชา 3,100 ล้านบาท และสับปะรดกระป๋อง 2,300 ล้านบาท โดยรายได้รวมกว่า 15% มาจากการส่งออก ขณะที่อีก 85% เป็นรายได้ในประเทศ
นอกจากนี้ มีแผนร่วมมือกับบริษัทซันโตรี่ พันธมิตรทางธุรกิจที่มีฐานผลิตที่อินโดนีเซีย ในการไปเปิดฐานการผลิตที่ เวียดนาม เพื่อขยายไลน์การผลิตน้ำผลไม้แท้ 100% ของทิปโก้ เพื่อการจำหน่ายในอินโดนีเซีย เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ในอาเซียน ซึ่งจะทำให้การทำตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยบริษัทยังตั้งเป้ายอดขายจากภูมิภาคนี้สูงถึง 25-30% ในอนาคตด้วย
สำหรับกรณีที่มีกระแสข่าวว่านายเจริญ สิริวัฒนภักดี ให้ความสนใจธุรกิจน้ำผลไม้ของบริษัท และเข้ามาขอเจรจาซื้อกิจการ เพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพนั้น ขณะนี้บริษัทฯยังไม่ได้ติดต่อหรือเจรจาธุรกิจกับบริษัทในเครือของนายเจริญแต่อย่างใด และก็ยืนยันว่าจะยังไม่มีการซื้อขายกิจการ เนื่องจากบริษัทมีพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีอย่างบริษัท ซันโตรี่ อยู่แล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น