ที่มาhttp://www.thairath.co.th/content/tech/247047
นายวาตารุ นิชิโอกะ ประธานบริษัท และประธานกรรมการ บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้ ธุรกิจกล้องดิจิตอลมีการแข่งขันสูงขึ้นมาก แคนนอน ในฐานะผู้นำตลาดกล้องดิจิตอลในประเทศไทย จึงเตรียมกลยุทธ์เพื่อบุกตลาดกล้องเต็มรูปแบบในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 พร้อมท้าชนคู่แข่งในทุกประเภทสินค้าด้วยทัพกล้องดิจิตอลรุ่นใหม่จำนวน 23 รุ่น ประกอบด้วย กล้องดิจิตอลคอมแพ็ค กล้องดีเอสแอลอาร์ และกล้องวีดีโอ ที่มาพร้อมกับสุดยอดเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานสนุกกับการถ่ายภาพ และพึงพอใจกับประสิทธิภาพของกล้องมากขึ้น ทั้งนี้ แคนนอนมั่นใจว่า จะยังคงรักษาส่วนแบ่งการตลาดอ้นดับหนึ่งได้ต่อไปจากการรุกตลาดครั้งนี้ ด้วยเป้าหมายการตลาด 6,346 ล้านบาท และสามารถบรรลุเป้าหมายการดำเนินธุรกิจของแคนนอนที่ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 24% หรือมียอดขายรวมตลอดทั้งปีทะลุ 10,000 ล้านบาท
ด้าน นายวรินทร์ ตันติพงศ์พานิช ผู้อำนวยการอาวุโส และผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บ.แคนนอนฯ กล่าวว่า ตลาดกล้องดิจิตอล ที่เป็นคอมแพ็ค ในปีนี้จะมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมากขึ้น และภาพรวมของตลาดกล้องดิจิตอลคอมแพ็คมีแต่ปรับตัวลดลง รวมกับราคากล้องจะมีการปรับตัวลดลง เฉลี่ยปีละ 10-15% เชื่อว่าปีนี้ขนาดกล้องดิจิตอลแบบคอมแพ็คจะอยู่ที่ประมาณ 1.6 ล้านเครื่อง หรือ มูลค่าประมาณ 7,000 ล้านบาท หากดูจากผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวในปีนี้ จะเน้นว่าเรามุ่งเน้นไปที่คุณภาพของกล้อง มากกว่าที่จะมาแข่งขันเรื่องราคา ทั้งนี้สัดส่วนการขายกล้องคอมแพ็คในราคาระดับบนอยู่ประมาณ 30% โดยกล้องดิจิตอลคอมแพ็คของแคนนอนราคาถูกสุดอยู่ประมาณ 2,400 บาท ขณะที่ราคากล้องราคาถูกในตลาดเฉลี่ยจะอยู่ที่ไม่เกิน 2,000 บาท
ผู้อำนวยการอาวุโส และผู้จัดการทั่วไป ส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บ.แคนนอนฯ กล่าว กล่าวอีกว่า นอกจากนี้แคนนอนยังมีแผนการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านทาง คอนเซ็ปต์สโตร์ของแคนนอนที่ปีนี้จะเปิดอีก 6 สาขาเพื่อทำให้ตลาดกล้องดิจิตอล กลุ่มคอมแพ็คในต่างจังหวัดมีโอกาสขยายตัว โดยปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากลูกค้าในกรุงเทพฯ 70% กับต่างจังหวัด 30% ทำให้แคนนอนยังเห็นว่าต่างจังหวัดยังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่านี้ ดังนั้นแคนอนก็จะพยายามชิงอันดับ 1 กลับมาให้ได้ โดยตั้งเป้าเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดมาอยู่ที่ 23% ขณะที่ตลาดกล้องดีเอสแอลอาร์แม้ว่าคู่แข่งรายสำคัญจะบุกตลาดหนักมากขึ้น แต่แคนนอนจะพยายามเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้เป็น 65-70% จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 60-65% โดยมูลค่าตลาดรวมปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 3,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่ประมาณ 3,065 ล้านบาท
สำหรับผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 ประกอบด้วย EOS-1D X กล้องดีเอสแอลอาร์แบบฟูลเฟรมที่เร็วที่สุดในโลก EOS 5D Mark III กล้องฟูลเฟรมระดับมืออาชีพ โดดเด่นทั้งการถ่ายภาพนิ่งและถ่ายภาพเคลื่อนไหว PowerShot G1 X กล้องดิจิตอลคอมแพ็คระดับโปรซูมเมอร์ที่ได้พัฒนาเทคโนโลยีเซ็นเซอร์ CMOS เลนส์ UA ใหม่ และ DIGIC 5 จากกล้องดีเอสแอลอาร์ มาใช้ในกล้องคอมแพค IXUS HS series กล้องดิจิตอล และกล้องวีดีโอไฮเดฟฟินิชั่น LEGRIA ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Wi-Fi สุดล้ำ และแอพพลิเคชั่น Camera Window ที่พัฒนาขึ้นระหว่างแคนนอนและแอปเปิล ในการเชื่อมต่อกล้องดิจิตอลเข้ากับสมาร์ทโฟนระบบ iOS เพื่อให้ผู้ใช้สามารถนำภาพถ่ายคมชัด มีคุณภาพสูง เพราะถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลที่แท้จริง แบ่งปันใน Social Network ต่างๆได้ในทันที
ขณะที่ เทคโนโลยีสำคัญที่เป็นแกนหลักในกล้องดิจิตอลของแคนนอนรุ่นใหม่ครั้งนี้ ได้แก่ ชิปประมวลผลภาพอัจริยะใหม่ DIGIC5+ ในรุ่น EOS 1DX และ 5D Mark III และ DIGIC5 ในกล้องดิจิตอลคอมแพ็ค ข้อดีคือ ช่วยลดสัญญาณรบกวนเมื่อถ่ายด้วยค่าความไวแสงสูง และเมื่อทำงานร่วมกับเซนเซอร์ CMOS ความละเอียดภาพที่ได้เพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า CMOS Sensor Technology โดย EOS 5D Mark III ใช้เซนเซอร์ CMOS แบบฟูลเฟรมความละเอียดสูงถึง 22.3 ล้านพิกเซล สามารถสร้างสรรค์ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวที่มีคุณภาพสูง และยังคงความสมดุลระหว่างความละเอียดในการแสดงผลของภาพ ลดสัญญาณรบกวนภาพได้เป็นอย่างดี ให้คมชัดมากกว่าเดิม แม้ถ่ายภาพในที่แสงน้อย
กล้อง PowerShot G1X ใช้เซนเซอร์ CMOS ขนาด 1.5 นิ้ว ที่ใหญ่ที่สุดในกล้องคอมแพ็คของแคนนอนทั้งหมด ทำให้เก็บรายละเอียดภาพได้ครบถ้วน ให้สีสันสดใส และเมื่อทำงานร่วมกับ F2.8 จะให้ระยะชัดตื้นที่โดดเด่นกว่ากล้องรุ่นอื่นๆ
ขณะที่ เทคโนโลยี HS System ระบบที่ช่วยจัดการเกี่ยวกับสัญญาณรบกวนและแสง Multi-Area White Balance ที่ทำให้สีออกมาเป็นธรรมชาติเช่นเดียวกับที่ตาเห็น นับจากนี้ไม่ว่าจะถ่ายภาพที่ไหนหรือเมื่อไรกล้องถ่ายภาพจากแคนนอนสามารถผลิตภาพที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ส่วน เทคโนโลยี Wi-Fi ในกล้องดิจิตอล IXUS 510 HS และ IXUS 240 HS และกล้องวีดีโอ LEGRIA HFM 52 , HFR38 และ HFR 36 ทำให้ผู้ใช้สามารถอัพโหลดไฟล์ภาพถ่าย หรือวีดีโอจากกล้องแคนนอน ไปยัง iPhone และ iPad รวมทั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์อย่าง Facebook หรือ YouTube และส่งอีเมล์ ผ่าน แอพพลิเคชั่น Canon Camera Window บนสมาร์ทโฟนระบบ iOS วิธีการนี้ช่วยลดขั้นตอนในการดาวน์โหลดภาพสู่เครื่องก่อนอัพโหลดขึ้นออนไลน์ และคุณภาพของภาพถ่ายที่ได้รับดีกว่าเมื่อเทียบกับภาพที่ถ่ายด้วยกล้องในสมาร์ทโฟน เนื่องจากปัจจุบันผู้ใช้งานส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการแค่ความสะดวกในการอัพโหลดภาพแบบเรียลไทม์ แต่ต้องการคุณภาพของภาพถ่ายด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น