วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เจาะลึกกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ ทำยังไงถึงเติบโตระดับโลก?


เจาะลึกกลยุทธ์ธุรกิจยุคใหม่ ทำยังไงถึงเติบโตระดับโลก?

 ตอนนี้สิ่งที่เห็นได้ชัดของแนวโน้มที่เกี่ยวข้องธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจอินเทอร์เน็ตหลายแห่ง ทั่วโลกต่างเติบโตกันอย่างรวดเร็วมาก ใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี บริษัทหน้าใหม่ ก็สามารถแซงหน้าบริษัทยังษ์ใหญ่ที่เปิดมาสิบๆปีอย่างสบายๆ ทั้งมูลค่ายอดขาย และมูลค่าของแบรนด์ขององค์กรหรือสินค้า ยกตัวอย่างเช่น Google สร้างบริษัทมาเพียง 12 ปี มูลค่าของแบรนด์ 55,317 ล้านเหรียญ (1.7 ล้านล้านบาท) แซงหน้าบริษัทยักษใหญ่ที่มีอายุร้อยกว่าปีอย่าง GE ได้ หรือ Apple กลายเป็นบริษัทที่มีมูลค่ามากมากถึง 324.3 พันล้านเหรียญ (10 ล้านล้านบาท) อะไรคือปัจจัยทีทำให้บริษัทหน้าใหม่เหล่านี้ สามารถเติบโตได้อย่างติดจรวด และเราจะสามารถเรียนรู้และนำกลยุทธนี้มาใช้กับธุรกิจของเราได้หรือไม่? เรามาเจาะเรื่องนี้กันครับ
 ที่มา http://www.pawoot.com/global-business-strategy
ปัจจัยความสำเร็จของบริษัทยุคใหม่ว่าทำไมถึงสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ 
1. อินเทอร์เน็ต (Internet) คือปัจจัยหลักที่ทำให้ ธุรกิจเหล่านี้ สามารถตักตวงและใช้ประโยชน์ช่องทางนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างมาก อินเทอร์เน็ตคือช่องทางที่ธุรกิจรูปแบบใหม่สามารถเข้าถึงคนใช้อินเทอร์เน็ต ทั่วโลกมากกว่า 2 พันล้านคนได้อย่างง่ายและรวดเร็ว ดังนั้นธุรกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วส่วนใหญ่จะเปลี่ยนจากกลุ่มลูกค้าเป้า หมายที่เป็นลูกค้าในประเทศที่อาจจะมีอยู่จำกัด กลายเป็นลูกค้าทั่วโลกที่มีความต้องการอย่างมากมายมหาศาล (ลองคิดดูว่าธุรกิจของคุณจะเปลี่ยนไปบ้างได้ไหม? ยังขายแต่อยู่ลูกค้าหน้าเดิมๆ หรือลุกค้าในจังหวัดคุณอยู่หรือเปล่า?)

2. ขายตรงไปยังผู้บริโภค (Direct to Customer) ด้วยรูปแบบของธุรกิจรูปแบบใหม่ ส่วนใหญ่ธุรกิจประเภทนี้จะเป็นธุรกิจ "บริการ" ที่สามารถให้บริการผ่านอินเทอร์เน็ตทำให้คนทั่วโลก สามารถเข้าไปใช้บริการต่างๆ ผ่านทางออนไลน์ได้ทันที และสามารถสร้างรายได้ๆ ทันทีเช่นกันโดยโดยที่ไม่จำเป็นต้อนส่งสินค้าไปให้ ตัวอย่างเช่น บริการลงโฆษณาผ่านทางกูเกิ้ล ที่คนทั่วโลกสามารถลงโฆษณากับกูเกิ้ลได้ง่ายๆ โดยปี 2010 สามารถสร้างรายได้ให้กับกูเกิ้ลปีละ 28 พันล้านเหรียญ (8 แสนกว่าล้านบาท) โดยเป็นเงินที่เก็บจากคนที่ลงโฆษณาใน กูเกิ้ลทั่วโลก และคนเหล่านั้นจ่ายเงินให้กับกูเกิ้ลตรงๆ ผ่านทางอินเทอร์เน็ตทันที หรือหากเป็นการขายสินค้า ก็จะเป็นการส่งสินค้าจากประเทศแหล่งผลิตโดยตรงไปยังมือผู้รับทันที ทำให้สามารถควบคุมต้นทุนหลายๆ อย่างได้และนำมาซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะตัดตัวกลางอย่างพ่อค้าคนกลางออกไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดของ Apple หากคุณสั่งสินค้าจากทางออนไลน์คุณจะได้รับสินค้าส่งมาจากประเทศจีนถึงบ้าน คุณทันที (ลองมองธุรกิจคุณสิ ต้องสินค้าผ่านกี่ต่อกว่าจะไปถึงมือผู้บริโภค ทุกลำดับขั้นของการส่ง จะมีต้นทุนเกิดขึ้นเสมอ จะดีไหมหนอ หากเราสามารถตัดตัวกลางต่างๆ ออกไปได้ เพื่อลดต้นทุน และสร้างกำไรให้กับธุรกิจของคุณ)

3. กลยุทธ์หางยาว (Long Tail) คือกลยุทธ์ที่สามารถขายสินค้านับล้านๆ รายการผ่านอินเทอร์เน็ตได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปขึ้นอยู่กับพื้นที่แสดงสินค้าอีกต่อไป เพราะหากคุณมีหน้าร้านโอกาศที่คุณจะนำของนับล้านช้ินไปวางแสดงเพื่อขายคง เป็นไปได้อยาก เพราะพื้นที่จำกัด เราจึงต้องเลือกสินค้าที่ขายดีๆ มาวางขาย ส่วนสินค้าที่ขายไม่ได้ ก็คงต้องเก็บไว้หลังร้าน นั่งหมายถึงสินค้าที่ไม่แสดงโอกาสการขายก็จะหายไปทันที และหากเราต้องการพื้นที่วางแสดงสินค้าเยอะๆ นั้นหมายถึงเราก็ต้องมีพื้นที่เยอะขึ้นด้วยเช่นกัน ราคาค่าเช่าก็จะเยอะขึ้นตาม ดังน้นจำนวนสินค้าจึงแปรผันตรงกับค่าใช้จ่ายของธุรกิจทันที แต่หากในโลกอินเทอร์เน็ต คุณสามารถนำสินค้านับล้านไปใส่ไว้ในเว็บไซต์ เพื่อให้คนสามารถชมและค้นหาสินค้าต่างๆ ได้ง่ายๆ เพียงแค่คลิกไม่กี่ที ของที่คุณต้องการก็จะมาปรากฏที่หน้าคุณแล้ว ดังนั้นต่อให้มีสินค้านับล้าน หรือสิบล้านชิ้นได้ง่ายๆ ยังไงก็ไม่มีผลต่อต้นทุนทางธุรกิจ เพราะยิ่งใส่ไปมากเท่าไรก็เป็นเพียงข้อมูลดิจิตอลเท่านั้น แต่ยิ่งหน้าเว็บไซต์ของคุณมีสินค้ามามาย ก็จะยิ่งช่วยสร้างยอดขายให้กับสินค้าที่ไม่ดัง ไม่ค่อยมีคนซื้อให้กับธุรกิจคุณได้เช่นกัน เพราะลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าทุกชิ้นของคุณได้ นี้คือรูปแบบของกลยุทธ์ "หางยาว (Long Tail) (กลับมาดูธุรกิจคุณเองสิ ว่าคุณมีเว็บไซต์หรือยัง หากมีแล้ว เว็บไซต์คุณได้สร้างยอดขายให้กับคุณไหม?)

4. การสร้างนวัตกรรม (Innovation) สังเกตุได้ว่าบริษัทหลายๆ แห่งที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เกิดจากการพัฒนาสินค้าและบริการใหม่ๆ ขึ้นมา  เช่น กูเกิ้ลเปิดตัวบริการใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง หรือ แอปเปิ้ล เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่มีการพัฒนารูปแบบใหม่ทุกๆ ปี เป็นต้น การสร้างนวัตกรรมไม่ได้เกิดจากการสร้างสินค้า (Product) หรือบริการ (Service) การส ร้างนวัตกรรมยังสามารถสร้างให้เกิดขึ้นกับขบวนการ (Process) ของการทำธุรกิจได้อีกด้วย เช่น Dell ฉีกกฏการขายแบบเดิม มาเป็นปรับกระบวนการขาย ให้เกิดการขายตรงไปยังผู้บริโภคและปรับกระบวนการผลิตที่เชื่อมต่อข้อมูลกับ โรงงานที่ส่งชิ้นส่วน ทำให้สามารถลดต้นทุนในการผลิตได้มาก และนำมาซึ่งกำไรให้กับธุรกิจมากขึ้น (กลับ มาคิดดูสิว่าธุรกิจของคุณ จะสามารถปรับปรุงกระบวนการอะไรให้ดีขึ้น ให้สามารถลดต้นทุนได้อย่างไร บางอย่างสามารถนำเทคโนโลยีหรือวิธีคิดใหม่ๆ มาใช้ได้ทันที)

5. โมเดลทางธุรกิจ (Business Model) โมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ สามารถเกิดขึ้นได้ทุกวัน อย่ายึดติดกับโมเดลธุรกิจเดิมๆ ลองคิดอะไรใหม่ๆ ที่ใช้เทคโนโลยีมาต่อยอด เพราะเมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน โมเดลทางธุรกิจใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้นด้วยเช่นกัน ตัวอย่างเช่น เว็บไซต์ Groupon.com เว็บรวมส่วนลดและดีลพิเศษ ที่ทำให้คนทั่วไปสามารถซื้อส่วนลดสินค้าต่างๆ ได้โดยประหยัดไปมากกว่า 50% ทางออนไลน์ และกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อไปทาง โซเชียลเน็ตเวิรก์ ซึ่งโมเดลธุรกิจแบบนี้ไม่เคยขึ้นมาก่อน เพราะการเกิดขึ้นของเทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิรก์ทำให้เกิดการกระจายข้อมูล ข่าวสารไปได้ง่าย จึงทำให้ธุรกิจนี้โตอย่างมาก โดยมูลค่าของ Groupon.com มีมากถึง 18 พันล้านเหรียญ (5 แสนกว่าล้านบาท) หลังจากเปิดบริษัทได้เพียง 2 ปีกว่าๆ เท่านั้นเอง (ลองกลับมานึกดูสิ ว่ามีโมเดลธุรกิจอะไรใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยเกิดขึ้น หรือสามารถนำมาประยุกต์อะไรใหม่ๆ เพื่อทำให้เกิดโมเดลธุรกิจใหม่ๆ ได้บ้างไหม)

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงส่วน หนึ่งของปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจใหม่ๆ สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และสร้างมูลค่าได้อย่างมหาศาลในระยะเวลาอันสั้น อ่านมาถึงตรงแล้วก็อย่างมั่วแต่ชื่นชมเค้าว่าเก่งนักเก่งหนา ผมว่าคงต้องถึงเวลาที่คุณต้องกลับมาคิดแล้วล่ะว่า "เราเอง" จะสร้างการเติบโตลักษณะเดียวกับนี้กับงานที่เราทำ หรือธุรกิจที่เราทำอยู่ได้อย่างไร เพราะประโยชน์ที่ได้ มันคงไม่ได้อยู่แค่ตัวคุณหรือบริษัทของคุณเท่านั้น มันส่งผลโดยตรงกับประเทศของเรา และที่สำคัญที่สุดคือ หากเราไม่คิดหรือลงมือทำในวันนี้แล้ว เราจะไปเริ่มวันไหนครับ? ฉะนั้น "คิดและลงมือทำเดียวนี้เลยครับ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น