วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สงครามหนังสืออีกยก

สงครามหนังสืออีกยก

    
      มี สิ่งหลงยุคที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งกลางศูนย์กระจายสินค้าส่วนใหญ่ของ Amazon.com นั่นคือชั้นวางหนังสือยาวเหยียดสุดลูกหูลูกตาแบบเดิมๆ Amazon เก็บหนังสือเหล่านี้ไว้สำหรับลูกค้าจำนวนมากผู้ยังรักความรื่นรมย์จากการได้ จับต้องการอ่านหนังสือบนหน้ากระดาษ แต่บริษัทก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่กับการเพิ่มประสิทธิภาพ และเตรียมวิธีง่ายๆ สำหรับกำจัดชั้นหนังสือเหล่านั้นพร้อมอยู่แล้ว นั่นคือการพิมพ์หนังสือตามสั่งด้วย

        
      เครื่องพิมพ์ที่ได้มาตรฐานของอุตสาหกรรมและไฟล์หนังสือดิจิตอลจากสำนัก พิมพ์ Amazon จึงสามารถรอจนกระทั่งมีลูกค้าคลิกปุ่ม “สั่งซื้อ” สีเหลืองแล้วจึงพิมพ์หนังสือออกมาได้อย่างง่ายดายเทคโนโลยีนี้ได้รับเสียง สนับสนุนจากบรรดาผู้ต้องการให้ธุรกิจหนังสือคล่องตัวมากขึ้นและมันก็อาจกลายเป็นชนวนระเบิดใน ธุรกิจการพิมพ์หนังสือที่มีการแข่งขันสูงมากด้วยอุตสาหกรรมหนังสือไม่อยาก เผชิญการเปลี่ยนแปลงรุนแรงมากกว่านี้แล้วการเปิดตัวเครื่องอ่านอีบุ๊ค Kindle ในปี 2007 และการที่ Amazon ยืนยันว่าต้องการให้หนังสือใหม่มีราคา 9.99 เหรียญเพื่อเอาใจลูกค้า ก่อความขัดแย้งหลายแง่มุม ความพยายามของสำนักพิมพ์รายใหญ่ที่ต้องการหลบหลีกกลยุทธการตั้งราคาของ Amazon ดังกล่าว ทำให้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ให้ความสนใจ และเมื่อเร็วๆ นี้ได้ยื่นฟ้อง Apple และสำนักพิมพ์ 5 แห่งตามกฎหมายเกี่ยวกับการผูกขาดทางการค้า โดยกล่าวหาว่ามีการฮั้วกันขึ้นราคาอีบุ๊ค (มีสำนักพิมพ์ 3 แห่งยอมความ) ประเด็นเรื่องการพิมพ์หนังสือตามสั่งตกเป็นเรื่องรองไปในขณะที่ปัญหาเกี่ยว กับอีบุ๊คที่ว่ามานั้นกำลังดำเนินอยู่

      แต่ผู้บริหารบางคนของสำนักพิมพ์ใหญ่บางแห่งใน New York ซึ่งขอไม่เปิดเผยชื่อเสียงเรียงนาม เนื่องจากบริษัทของพวกเขากำลังอยู่ในช่วงดำเนินการทางกฎหมาย บอกว่า Amazon มักติดต่อมาเพื่อขออนุญาตใช้วิธีการพิมพ์หนังสือตามสั่งกับหนังสือเล่มเก่าๆ ที่มียอดขายไม่ดีของพวกเขา แต่พวกเขาก็ปฏิเสธเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเกรงว่า Amazon จะใช้การพิมพ์หนังสือตามสั่งดึงรายได้ของธุรกิจการพิมพ์หนังสือเข้าหาตัวมาก ยิ่งขึ้น การขอให้สำนักพิมพ์ใช้ระบบพิมพ์หนังสือตามสั่ง “หลักๆแล้ว เป็นเรื่องของการเข้าควบคุมธุรกิจไว้ในกำมือ” เป็นคำกล่าวของ Mike Shatzkin ผู้ก่อตั้ง Idea Logical บริษัทให้คำปรึกษากับสำนักพิมพ์ต่างๆ เรื่องหนังสือดิจิตอล “มันช่วยเพิ่มส่วนต่างกำไรก็จริง แต่ทำให้ส่วนอื่นๆของธุรกิจการพิมพ์อ่อนแอลงด้วย”

      การพิมพ์หนังสือตามสั่งมีมานานเกินทศวรรษแล้ว ปี 1997 ผู้ค้าส่งหนังสือรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐอเมริกา ซึ่งปัจจุบันรู้จักกันในนาม Ingram Content Group ได้ตั้งแผนกชื่อ Lightning Source บริการสำนักพิมพ์ที่ต้องการพิมพ์หนังสือบางเล่มจำนวนจำกัด ปี 2005 Amazon ซื้อกิจการผู้ให้บริการพิมพ์หนังสือตามสั่งคู่แข่งชื่อ BookSurge และเริ่มเสนอทางเลือกให้สำนักพิมพ์มีคลังหนังสือเพิ่มเติมด้วยการพิมพ์ หนังสือตามสั่งเมื่อหนังสือเล่มจริงจำหน่ายหมดปัจจุบันบริษัท ชื่อ CreateSpace ของ Amazon ให้บริการแก่สำนักพิมพ์ขนาดเล็กและนักเขียนที่พิมพ์หนังสือขายเอง ส่วนเทคโนโลยีด้านนี้ก็พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ และทุกวันนี้หนังสือพิมพ์ตามสั่งก็มีหน้าตาไม่ต่างจากหนังสือปกอ่อนทั่วไป เลย
บรรดาสำนักพิมพ์ต่างเป็นห่วงว่าความนิยมพิมพ์หนังสือตามสั่งที่ขยายไป เรื่อยๆ (เช่นเดียวกับการเกิดขึ้นของอีบุ๊ค) อาจกระทบต่อรูปแบบธุรกิจที่ดำเนินมานับร้อยปีของพวกเขา

      บริษัทอย่าง Random House และ Simon & Schuster ได้ลงทุนตลอดระยะเวลาหลายสิบปีไปกับการสร้างระบบลำเลียงวัตถุดิบและสินค้า การเก็บหนังสือในคลังสินค้าขนาดยักษ์ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่ง เพื่อส่งหนังสือไปสู่ร้านค้าได้ในเวลาไม่กี่วัน ซึ่งหากการพิมพ์หนังสือตามสั่งแพร่หลาย สำนักพิมพ์ก็อาจตัดรายจ่ายคงที่ของพวกเขาได้พร้อมกับแก้ไขปัญหาเรื้อรัง เกี่ยวกับการเก็บหนังสือที่ขายไม่ออกและถูกส่งคืน แต่นั่นก็จะทำให้ส่วนประกอบอื่นๆ ที่เหลือเกือบทั้งหมดมีปัญหาในวิถีทางที่สำนักพิมพ์ใหญ่ๆดำเนินธุรกิจ เนื่องจากพวกเขาตั้งราคาหนังสือโดยพิจารณาถึงบริการอีกหลายส่วน ไล่ตั้งแต่การแนะนำหนังสือโดยบรรณาธิการ ไปจนถึงการเก็บและการกระจายหนังสือ แต่เทคโนโลยีการพิมพ์หนังสือตามสั่งจะทำให้สำนักพิมพ์คงราคาขายส่งของ หนังสือส่วนใหญ่เอาไว้ได้ยากเต็มที

      หนึ่งในผู้บริหารสำนักพิมพ์ใน New York กล่าวว่าแม้กระทั่งการยอมให้ Amazon พิมพ์หนังสือตามสั่งสำหรับหนังสือที่ขาดตลาดก็เป็นความคิดที่ผิด เพราะนั่นอาจทำให้ Amazon สั่งซื้อหนังสือธรรมดาน้อยลง และการมีคลังสินค้าชนิดที่เก็บหนังสือได้ไม่จำกัดนั้น จะทำให้ Amazonมีปัจจัยอีกเรื่องที่ได้เปรียบเหนือผู้ค้าหนังสือปลีกอย่าง Barnes & Noble ซึ่งบรรดาสำนักพิมพ์ต้องการให้อยู่ในธุรกิจต่อไปเพื่อถ่วงดุลกับบริษัทยักษ์ ใหญ่ในวงการค้าขายผ่านอินเทอร์เน็ตรายนี้

      ผู้บริหารระดับสูงอีกคนหนึ่งของสำนักพิมพ์ชั้นนำใน New York บอกว่า ยังวางใจ Amazonไม่มากพอ สำหรับการพิจารณาเรื่องให้บริการพิมพ์หนังสือตามสั่งของบริษัท Amazon มิใช่บริษัทเดียวที่พยายามชักจูงสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ทั้งหลายที่ยังไม่เต็มใจให้เข้าสู่อนาคตแห่งการพิมพ์หนังสือตามสั่ง ช่วงปลายทศวรรษ 1990 Jason Epstein บรรณาธิการผู้มากประสบการณ์ของ Random House มีวิสัยทัศน์เกี่ยวกับเครื่องคล้ายตู้ ATM ที่สามารถพิมพ์หนังสือหายากออกมาได้

      ในปี 2003 เขาได้ตั้งบริษัท On Demand Books เพื่อทำความคิดนี้ให้เป็นจริง ปัจจุบันเครื่องที่มีชื่อว่า Espresso Book Machineของบริษัทซึ่งผลิตโดย Xerox และมีราคาประมาณ 100,000 เหรียญ ได้ถูกติดตั้งอยู่ในร้านหนังสือไม่กี่สิบแห่งทั่วสหรัฐอเมริกา ตู้นี้ใช้เวลาประมาณ 4 ถึง 5 นาทีในการดาวน์โหลดและพิมพ์หนังสือปกอ่อนคุณภาพสูง เมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา HarperCollins Publishers ที่เป็นส่วนหนึ่งของ News Corp. กลายเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่แห่งแรกที่เปิดให้ On Demand Books ได้ใช้ส่วนหนึ่งจากคลังหนังสือของตน ซึ่งเป็นหนังสือเก่าประมาณ 5,000 เล่ม แต่เครื่องดังกล่าวก็ยังคงมีหนังสือยอดนิยมให้เลือกน้อยมาก ทำให้ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร “หนังสือที่มีให้เลือกเยอะก็จริง แต่ส่วนใหญ่เป็นหนังสือที่มีลิขสิทธิ์สาธารณะ” เป็นคำกล่าวของ Dane Neller ซีอีโอของ On Demand Books ที่พูดถึงหนังสือประเภทเก่ามากจนพ้นจากช่วงเวลาได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ์ ไปแล้ว” ไม่แปลกที่สำนักพิมพ์ไม่อยากกระทบกระทั่งกับผู้อยู่ในระบบกระจายสินค้าของ พวกเขา แต่เราหวังและเชื่อว่าเรื่องนี้จะเปลี่ยนไป”

ขณะที่การเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิตอลกำลังพลิกอุตสาหกรรม การต่อต้านการพิมพ์หนังสือตามสั่งจะค่อยๆหายไปสำนักพิมพ์ขนาดเล็กทั้งหลาย ที่เปลี่ยนไปเป็นไม่ตีพิมพ์และจัดเก็บหนังสือของพวกเขาอีกต่อไป บอกว่ามันคุ้ม “แทนที่จะเก็บหนังสือเหล่านั้นทั้งหมดไว้ในคลังสินค้าคุณจะมีเงินหมุนสำหรับ ลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น” เป็นคำกล่าวของ Laura Baldwin ประธานของ O’Reilly Media สำนักพิมพ์หนังสือคอมพิวเตอร์ที่ได้เปลี่ยนไปใช้การพิมพ์หนังสือตามสั่ง เมื่อปีที่แล้วและสามารถประหยัดเงินค่าเก็บหนังสือถึง 1.6 ล้านเหรียญ “คุณสามารถใช้เงินจำนวนนี้ลงทุนเรื่องเทคโนโลยีการพิมพ์เพื่ออนาคตซึ่งตรง ข้ามกับการเก็บหนังสือเล่มมูลค่าเท่ากันอยู่ในคลังสินค้าเฉยๆ” – Brad Stone


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น