หลังจากแบรนด์ประกันภัยรายยักษ์สัญชาติอเมริกันอย่าง "อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป" หรือ "เอไอจี" ที่เคยประสบปัญหาวิกฤตการเงินที่เคยถาโถมเข้าใส่จนเซและรัฐบาลสหรัฐต้องเข้ามาอุ้มด้วยเงินอัดฉีดก้อนโตถึง 1.8 แสนล้านดอลลาร์ และหลบร้อนไปใช้แบรนด์"ชาร์ทิส" อยู่พักใหญ่
กระทั่งล่าสุด ผ่านไป 4 ปี กับแผนการผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่จนใช้คืนเงินกู้ก้อนมโหฬารดังกล่าวพร้อมกับดอกเบี้ยไปอีก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ได้เรียบร้อย
วันนี้จึงคืนสังเวียนกลับมาใช้แบรนด์ "เอไอจี" อีกครั้ง ด้วยมุมมองและประสบการณ์ที่แน่นกว่าเดิม พร้อมกับทยอยประกาศรีแบรนด์ใน 90 ประเทศ
นายโรนัลด์ เอ ฮิวดอน ประธานกลุ่ม เอไอจี ประเทศไทย และผู้จัดการสำนักงานประเทศไทย บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ อธิบายว่า การกลับมาใช้แบรนด์นี้ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ สถานการณ์ปัจจุบันบริษัทได้ชำระคืนเงินกู้จากรัฐบาลสหรัฐหมดเรียบร้อยแล้ว และการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าก็ยังคงความเชื่อมั่นในแบรนด์ "เอไอจี" อย่างเหนียวแน่น และสนับสนุนให้กลับมาใช้แบรนด์เดิม จึงทำให้ทางกรุ๊ปตัดสินใจรีแบรนด์ในครั้งนี้
สำหรับในประเทศไทยก็เช่นกันที่เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น บริษัท เอไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทในเครือเดียวกันอย่างนิวแฮมพ์เชอร์ฯ ที่เป็นสาขาจากบริษัทแม่ในต่างประเทศนั้น ก็อยู่ในระหว่างเปลี่ยนชื่อบริษัทให้มาเป็นชื่อที่ล้อไปในภาพเดียวกันเพื่อสะท้อนความแข็งแกร่งในแบรนด์ "เอไอจี" ร่วมกัน
"แม้ที่ผ่านมาเราจะใช้แบรนด์ ชาร์ทิส แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นผลลบกับธุรกิจประกันภัยแต่อย่างใด เพราะผลงานในปี 2555 นั้นก็ยังคงเติบโตได้ดีมาก เรามีเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นถึง 22% จากปีก่อนหน้า และภายใต้แผน 5 ปีที่เราวางไว้ก็เชื่อมั่นว่าจะยังมีทิศทางที่ดี น่าจะขยายตัวได้ประมาณ 15-16% ต่อปีตลอดช่วงเวลาดังกล่าว"
นายโรนัลด์อธิบายเพิ่มเติมถึงแผนการเติบโตดังกล่าวว่า บริษัทจะอาศัยการเติบโตทั้งฝั่งรับประกันภัยลูกค้ารายใหญ่รวมถึงโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งที่เงินกองทุนขนาดใหญ่ที่สามารถรับเสี่ยงภัยได้สูงสุดถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อภัย หรือประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท จึงเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันที่เชื่อมั่นว่าไม่มีบริษัทอื่นๆ เทียบได้
ขณะเดียวกันในตลาดประกันภัยรายย่อย บริษัทถือว่าเป็นผู้นำในตลาดประกันภัยการเดินทางที่มีเครือข่ายบริการได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก ประกันภัยรถยนต์ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันภัยสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี เช่นกัน ซึ่งสัดส่วนงานรับประกันภัยในปัจจุบันถือว่าเหมาะสมแล้ว ฉะนั้น การเติบโตในช่วง 5 ปีข้างหน้าคงไม่ได้มีแผนจะปรับพอร์ตแต่อย่างใด แต่เน้นเติบโตในตลาดที่มีศักยภาพจะเติบโตมากกว่า
"แม้ปัจจุบันเราจะมี 2 บริษััทประกันภัยภายใต้แบรนด์เดียวกัน แต่ก็ไม่มีนโยบายที่จะรวมทั้งสองบริษัทนี้เข้าด้วยกัน เนื่องจากแบ่งกันทำตลาดได้อย่างครอบคลุม โดยบริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ฯ ซึ่งมีสถานะเป็นสาขาของบริษัทแม่ในนสหรัฐจะมีขนาดเงินกองทุนใหญ่ สามารถรองรับงานประกันภัยรายใหญ่ได้ดี แต่ก็จะติดข้อจำกัดด้านการเปิดสาขาเพิ่มเติมสำหรับทำตลาดรายย่อย ก็จะให้บริษัท เอไอจีฯ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งในไทยเป็นแกนหลักรุกตลาดรายย่อยได้อย่างดี ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องรวมทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน ก็สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง" นายโรนัลด์กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น