วันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2556

5ยักษ์อสังหาฯปรับทิศลงทุนหนี"แสนสิริ"


5ยักษ์อสังหาฯปรับทิศลงทุนหนี"แสนสิริ" เฮโลบุกแนวราบ123โครงการแสนกว่าล้าน
updated: 07 ก.พ. 2556 เวลา 08:52:28 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ที่มา http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1360201695
อสังหาฯปีงูเล็กเคลื่อนไหวแรง 5 บิ๊กแบรนด์ "แลนด์ฯ-พฤกษา-เอพี-เพอร์เฟค-ศุภาลัย" ลุยลงทุนแนวราบ รับกำลังซื้อฟื้นตัว ระบบขนส่งมวลชนรอบทิศทาง และกระจายความเสี่ยง หลังคอนโดฯแสนสิรินำลิ่ว ดาหน้าบุก "ทาวน์เฮาส์-บ้านเดี่ยว" ทั้งปีรวม 123 โครงการ มูลค่าแสนกว่าล้านบาท สถิติเพิ่มพรวดจากปีก่อนเท่าตัว เกจิชี้ปีนี้ทำเลชานเมืองขยายตัว บางส่วนไปโตในต่างจังหวัด


แหล่งข่าวในวงการพัฒนาที่ดิน ตั้งข้อสังเกตกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศแผนลงทุนโครงการแนวราบมากขึ้นเป็นเท่าตัว สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงและทิศทางการแข่งขัน โดยเฉพาะการกระจายพอร์ตลดความเสี่ยงและแตกทำเลจากในเมืองสู่ชานเมืองอีกครั้ง รวมถึงการขยายตลาดสู่ภูมิภาคหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ


"ถามว่าคอนโดฯตลาดอิ่มตัวหรือยัง ตอนนี้แค่เริ่ม ๆ แต่การแข่งขันดุเดือดมาก แสนสิริก็มาแรงและเร็ว ทั้งการสร้างแบรนด์และช่วงชิงลูกค้าคนเมือง อย่าง แอล.พี.เอ็น.ฯ เป็นเจ้าตลาดคอนโดฯก็จริง แต่ลูกค้าคนละกลุ่ม รายได้แตกต่างกัน ล่าสุดก็กำลังลงมาชิมตลาดแนวราบอีกครั้งในนามบริษัทพรสันติฯ" แหล่งข่าวสรุป


จากการประมวลข้อมูลแผนการลงทุนในปี 2556 "ประชาชาติธุรกิจ" พบว่ามีปรากฏการณ์ใหม่ที่น่าสนใจ แม้คอนโดมิเนียมยังคงมาแรง แต่ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายกลับเทน้ำหนักมาที่ตลาดบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์มากขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มว่าตลาดปีนี้ค่อนข้างสดใส เพราะการขยายตัวของโครงการระบบขนส่งมวลชนรอบทิศทาง โดยเฉพาะทำเลชานเมืองและต่างจังหวัด ผู้บริโภคเองก็มั่นใจว่าน้ำท่วมจะไม่กลับมาเป็นปัญหาอีก


ที่สำคัญ หลายบริษัทเคยชะลอขึ้นโครงการบ้านแนวราบมาแล้วในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2555 ขณะเดียวกันตลาดคอนโดฯก็เกิดภาวะโอเวอร์ซัพพลายบางทำเล


จากสถิติศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ระบุว่า เมื่อปีที่แล้วมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่รวม 380 โครงการ รวม 100,700 หน่วย เป็นบ้านจัดสรร 217 โครงการ แต่มีจำนวนหน่วยเพียง 38,100 หน่วย ต่างจากคอนโดฯที่เปิดตัวทั้งปีมี 163 โครงการ แต่มีจำนวนมากถึง 62,600 หน่วย


5 บิ๊กอสังหาฯเปิด 123 โครงการ

"ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจพบอีกว่า ปีนี้บริษัทอสังหาฯชั้นนำ 5 รายแรกประกาศลงทุนโครงการทาวน์เฮาส์และบ้านเดี่ยวมากที่สุด ทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล และต่างจังหวัด ประกอบด้วย บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บมจ.เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ (เอพี) บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และ บมจ.ศุภาลัย รวมแล้ว 120-123 โครงการ รวมมูลค่า 109,440 ล้านบาท ต่างจากปีที่แล้วที่ 5 รายนี้เปิดตัวโครงการใหม่เพียง 68 โครงการ รวมมูลค่า 74,815 ล้านบาท


ในจำนวนนี้ เมื่อเปรียบเทียบปี 2555-2556 พฤกษาฯจะเปิดตัวแนบราบมากสุด จาก 26 เป็น 63 โครงการ แลนด์ฯจากที่เปิด 8 เพิ่มเป็น 14 โครงการ เอเชี่ยนฯจาก 10 เป็น 15 โครงการ (ดูตารางประกอบ)



ศุภาลัย-เพอร์เฟค ชี้กำลังซื้อฟื้น
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการบริหาร บมจ.ศุภาลัย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ที่เปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นก็เพื่อรองรับผลดำเนินงานที่เติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยมีปัจจัยมาจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) คืบหน้าไปมาก ประกอบกับปีที่ผ่านมากรุงเทพฯและปริมณฑลไม่มีปัญหาน้ำท่วม โดยใช้รุกโซนรังสิตและจังหวัดนนทบุรีอีกครั้ง ทั้งซื้อที่ดินใหม่รวมกับแลนด์แบงก์เดิม


นายวสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาโครงการเพอร์เฟคพาร์ค บางบัวทอง มียอดขายดี เฉลี่ยเดือนละ 8-12 หลัง ดังนั้นตลาดแนวราบน่าจะไปได้สวยปีนี้จะพัฒนา 15 โครงการ เน้นแบรนด์ "เพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ" บ้านเดี่ยวไฮเอนด์ราคายูนิตละ 15-20 ล้านบาทขึ้นไป และเพอร์เฟคเพลส เฉลี่ยยูนิตละกว่า 3-5 ล้านบาท ฯลฯ


บ้านแนวราบเปิดใหม่ 40%
นายอิสระ บุญยัง นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรฟันธงว่า บ้านแนวราบตลาดเริ่มขยายแล้ว จากข้อมูลปี 2555 เฉพาะกรุงเทพฯและปริมณฑลที่เปิดตัวโครงการแล้ว 95,000 ยูนิต 35% คือแนวราบ อีก 65% เป็นคอนโดมิเนียม ซึ่งปีนี้แนวราบจะโตขึ้นเป็น 40% เนื่องจากกำลังซื้อกลับมาเป็นปกติแล้ว ขณะที่ภาพรวมโครงการใหม่น่าจะเพิ่มขึ้น 10%


อย่างไรก็ตาม ราคาที่ดินแพงยังเป็นปัญหาทั้งผู้พัฒนาและผู้บริโภค ทำให้ทาวน์เฮาส์ราคาล้านต้น ๆ ในย่านปริมณฑลทำได้ยาก แต่ในต่างจังหวัดยังทำได้ทั้งนี้ วิเคราะห์ว่าทาวน์เฮาส์ใหม่ที่เปิดตัวย่านปริมณฑลจะเคาะราคาเริ่มต้นที่ 1.5 ล้านบาทบวกลบ เช่น ทำเลรัตนาธิเบศร์ ที่ดินแพงขึ้น ทำทาวน์เฮาส์บ้านเดี่ยวไม่ค่อยได้แล้ว ทำเลลำลูกกาจากราคายูนิตละ 7-8 แสนบาท แต่ด้วยต้นทุนทุกอย่างทำให้ทาวน์เฮาส์ตอนนี้วิ่งไปที่ 1.3 ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ


"ทำเลการแข่งขันตลาดบ้านแนวราบที่น่าจับตาปีนี้จะอยู่ที่ทำเลรังสิต-ลำลูกกา และพระราม 2 ราคายูนิตละไม่เกิน 3-4 ล้านบาท" นายอิสระกล่าว

“แบรนด์” ขยายปีกสู่โลกดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเต็มรูปแบบ


“แบรนด์” ขยายปีกสู่โลกดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเต็มรูปแบบ ครบทุกทัชพอยส์ ประกาศพร้อมวางอนาคตการตลาดดิจิตอลระยะยาว
โพสต์เมื่อ: 19/12/2012
ที่มา http://www.starupdate.com/?p=95394
“แบรนด์” ขยายปีกสู่โลกดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเต็มรูปแบบ ครบทุกทัชพอยส์ ก่อนก้าวสู่ปี 2013 ท้งในส่วนของ Social engagement, Mobile Marketing และ E-commerce รับยุคดิจิตอลเต็มตัวประกาศพร้อมลุยเต็มรูปแบบ รองรับการเปลี่ยนแปลง มุ่งนวัตกรรมด้านดิจิตอลเทคโนโลยีมากขึ้นพร้อมติดต่อลูกค้าแบบ “ทูเวย์” และเข้าถึงตัวลูกค้าแบบประชิดตัว ล่าสุดจับมือกับพันธมิตร LINE ร่วมพัฒนาระบบนำ 3 พรีเซ็นเตอร์คนดัง นิชคุณ , พีช-พชร , ชมพู่-อารยา มาเป็นเซเลบริตี้สติ๊กเกอร์ในการตลาด นับเป็นครั้งแรกของโลก

นายบุญเลิศ สุขเสรีทรัพย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำตลาดอาหารเสริมสุขภาพของเมืองไทย กล่าว “ถึงกลยุทธ์ที่สำคัญของบริษัทก่อนก้าวเข้าสู่ปี 2013 ก็คือปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิตอลให้มากขึ้น ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ มีความพร้อมเป็นอย่างมากเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น โดยที่ผ่านมาบยริษัทได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนา ด้านดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งอย่างต่อเนื่องเรียกได้ว่า “แบรนด์” ขยายเข้าสู่โลกดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเต็มรูปแบบ ครบทุกทัชพอยส์ การติดต่อกับลูกค้านับจากนี้แบรนด์จะใช้แบบ “ทูเวย์ คอมมูนิเคชั่น” เพื่อเข้าถึงตัวและสามารถตอบสนองลูกค้าได้มากขึ้น อนาคตต้องรู้ว่าลูกค้าเราเป็นใคร ซื้อสินค้าเราที่ไหน มีพฤติกรรมการซื้ออย่างไร เพราะฉะนั้นแบรนด์จำเป็นต้องนำระบบดิจิตอลมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ที่ผ่านมาแบรนด์ลงทุนมหาศาลในเรื่องการพัฒนาเพื่อเข้าสู่ระบบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งอย่างสมบูรณ์แบบ



ประเดิม 3 ภารกิจหลัก ครอบคลุมทุกทัชพอยส์

ที่ผ่านมาแบรนด์ได้เริ่มมีการวางระบบ และปรับระบบโครงสร้างใหม่เพื่อเข้าสู่ระบบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งครบทุกทัชพอยส์ โดยหลักๆ สามารถแยกออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

1. Social engagement โดยผ่านโซเชียลมีเดียซึ่งประกอบด้วย  facebook , youtube และ twitter ผ่านแบรนด์แอมบาสเตอร์ อาทิ “นิชคุณ หรเวชกุล” “พีช พชร จีราธิวัฒน์” “ชมพู่ อารยา เอฮาร์เก็ต” โดยปัจจุบันมีแบรนด์แฟนเพจมียอดแฟนสูงสุดเป็นอันดับ 1 ในหมวดของอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพและความงาม

2. E-commerce เป็นช่องทางที่เพิ่มความสะดวกให้กับลูกค้าในการสั่งสินค้าแบ่งออกเป็น 5 ช่องทางหลักคือ

- BRAND’S official E-commerce Site (www.bandsworld-online.com)

- Tarad.com BRAND’S Premium Mall (brandsworld-online.tarad.com)

- BRAND’S facebook ( Facebook BRANDSWorldthailand/ BRANDSveta)

- BRAND’S Club Mobile app.

- E-commerce Partner โดยมีพันธมิตรทางธุรกิจที่ดี เช่น www.lazade.co.th  และ www.ensogo.com  เป็นต้น

โดยถือโอกาสดีในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ แบรนด์ได้จัดทำกระเช้าของขวัญปีใหม่จากผลิตภัณฑ์แบรนด์ในรูปแบบต่างๆ สามารถสั่งซื้อออนไลน์ พร้อมจัดส่งฟรี ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค


3. Mobile Marketing ทุกวันนี้พฤติกรรมการบริโภคของคนเมืองเปลี่ยนไปจากเดิม มีการใช้สมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตเพื่อทำธุรกรรมต่างๆ มากขึ้น จนกลายเป็นไลฟ์สไตล์ของคนเมืองไปแล้ว เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตในครั้งนี้ทางแบรนด์จึงได้จัดทำ BRAND’S Club Offcial Account บน LINE และ BRAND’S Club mobile app โดยมีรายละเอียด ดังนี้

-  BRAND’S Club Offcial Account บน LINE แบรนด์เป็น Offical Account เจ้าแรกของโลกที่ต่อยอดการตลาดโดยออกสติ๊กเกอร์ในเวอร์ชั่นเซเลบริตี้สติ๊กเกอร์ โดยผ่าน “นิชคุณ หรเวชกุล” “พีช พชร จีราธิวัฒน์” “ชมพู่ อารยา เอฮาร์เก็ต” ซึ่งเราหวังว่ากระแสนี้ จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะรองรับพฤติกรรมการบริโภคของลูกค้า ซึ่งเราก็ได้จัดทำสิทธิพิเศษต่างๆ มากมาย สำหรับผู้บริโภคที่เข้าร่วมกิจกรรมกับแบรนด์ เช่น สิทธิพิเศษทางด้านราคา ในการสั่งซื้อสินค้ากับแบรนด์ หรือสิทธิพิเศษก่อนใครในการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของแบรนด์ เป็นต้น

- BRAND’S Club mobile app แบรนด์เริ่มลุยตลาดโมบายมาร์เก็ตติ้งตั้งแต่ปี 2010 ปีนี้ เราได้ก้าวไปอีกขั้นกับการนำประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยี AR (Augmented Reality) ซึ่งเป็นการผสานโลกเสมือนเข้ากับโลกจริง เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่กับแบรนด์




“จะเห็นว่าการลงทุนนับจากนี้เป็นต้นไปนอกจากเรื่องคุณภาพและ R&D แล้ว ทางบริษัทจะให้ความสำคัญดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งอีกด้วย เพราะเชื่อว่าจะเป็นรอยต่อที่จะเชื่องแบรนด์กับผู้บริโภคไว้ด้วยกัน แบรนด์ต้องการให้ผู้บริโภคหรือทุกคนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามามีปฎิสัมพันธ์กับองค์กรอย่างถาวร ดาดว่าในอีก 3 ปี ข้างหน้ายอดขายช่องทางดิจิตอลของแบรนด์จะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว และมีสมาชิกครอบคลุมกว่า 3 ล้านคน “  นายบุญเลิศกล่าว

กลุ่มเซ็นทรัลประกาศผงาดขึ้นแบรนด์ระดับโลก

กลุ่มเซ็นทรัลประกาศผงาดขึ้นแบรนด์ระดับโลก ปั้นแบรนด์ "เซ็นทรัล" บุกอาเซียน มั่นใจยอดขายปีนี้ 2.7 แสนล้านบาท
ที่มา http://www.bangkokbiznews.com/home/
นายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เปิดเผยว่า ทางกลุ่มเตรียมแผนขยายการลงทุนหลักไว้ใน 5 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจค้าปลีก โดยบริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น หรือซีอาร์ซี กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น กลุ่มธุรกิจค้าส่ง บริษัทเซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป หรือซีเอ็มจี กลุ่มธุรกิจโรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา และกลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัทเซ็นทรัลเรสตอรองส์ กรุ๊ป จำกัด ยังคงเดินหน้าขยายการลงทุนโดยอาศัยความแข็งแกร่ง และชื่อเสียงของแบรนด์เซ็นทรัลที่มีอยู่ เพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์ระดับโลกในอนาคต

โดยมุ่งเน้นการลงทุนทั้งในและต่างประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจะมีทั้งลงทุนเอง และร่วมทุนกับนักธุรกิจในท้องถิ่นแต่ละแห่ง รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ที่มีจำนวนประชากรในภูมิภาคนี้กว่า 600 ล้านคน ซึ่งถือเป็นตลาดที่ใหญ่และมีการเติบโตสูง ทำให้ภูมิภาคนี้เป็นที่สนใจของนักลงทุนต่างชาติ ดังนั้นกลุ่มเซ็นทรัลจำเป็นต้องเร่งขยายธุรกิจและหาทำเลที่มีศักยภาพในการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

สำหรับในปีนี้เตรียมงบลงทุน 3.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ตั้งงบลงทุนไว้กว่า 3 หมื่นล้านบาท แต่ลงทุนไปจริงกว่า 3.96 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ เนื่องจากมีการเข้าซื้อกิจการห้างลารีนาเชนเต ที่อิตาลี และร่วมทุนในสยามแฟมิลี่มาร์ท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจค้าปลีกในส่วนของอาหาร ในปีนี้ยังแผนลงทุนที่อยู่ระหว่างเจรจาอีก 4-5 แห่งคาดว่าจะใช้เม็ดเงินลงทุนเพิ่ม

ขณะที่การลงทุนในไทยปีนี้ เตรียมทยอยเปิดศูนย์การค้าซ็นทรัล ในจ.อุบลราชธานี หาดใหญ่ เชียงใหม่ และขยายสาขาเซ็นทรัล เฟสติวัล ภูเก็ต รวมถึงเปิดห้างโรบินสันเพิ่มอีก 5 แห่ง คือ จ.กาญจนบุรี, อุบลราชธานี, สกลนคร, สระบุรี และสุรินทร์ นอกจากนี้ ยังขยายสาขาร้านแฟมิลี่มาร์ท เพิ่ม อีก 350 สาขาภายในปีนี้จากปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 700 สาขาทั่วประเทศ

คาสิโอชี้แนวโน้มตลาดนาฬิกาเอเชียยังรุ่ง


ที่มา http://www.naewna.com/business/46670
วันเสาร์ ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556, 06.55 น.

นายเคอิชิ ซาโตะ ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายขาย บริษัท คาสิโอ คอมพิวเตอร์ จำกัด จากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า บริษัทมองว่าธุรกิจนาฬิกาในภูมิภาคเอเชียยังคงเติบโตได้อีกมาก เพราะผู้บริโภคยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ไทยนับเป็นอีกตลาดหนึ่งในภูมิภาคเอเชียที่บริษัทให้ความสำคัญ เนื่องจากนาฬิกาคาสิโอสามารถครองส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาดนาฬิกาสปอร์ตแฟชั่นในไทย และมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีคนไทยรุ่นใหม่ที่คลั่งไคล้และเป็นผู้นำแฟชั่นนาฬิกาอีกเป็นจำนวนมาก

โดยในปี 2556 นี้บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มยอดขายทั่วโลกรวมทั้งในไทยที่ประมาณ 120% จากปี 2555 ซึ่งจะเน้นการผลักดันทุกแบรนด์ภายใต้แบรนด์ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ จี ช็อค, เบบี้ จี, อิดีเฟียส, ชีนและโพรเทรค ซึ่งเชื่อว่ายังมีช่องทางและโอกาสในการดำเนินธุรกิจอีกมาก นอกจากนี้บริษัทยังพัฒนาด้านเทคโนโลยี อย่าง “นิวเซ็นเซอร์โครโนกราฟ” (New Sensor Chronograph) ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ประสานสไตล์ดิจิตอลกับอะนาล็อก พร้อมแสดงข้อมูลการทำงานหลากหลายได้อย่างชัดเจน แม่นยำ เช่น ในโหมดเข็มทิศ และการควบคุมสู่จุดหมายตามที่ได้ตั้งทิศทางไว้ล่วงหน้า

นางเยาวลักษณ์ กิจทวีสินพูน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด/แผนกสินค้าพิเศษ บริษัท เซ็นทรัลมาร์เก็ตติ้ง จำกัดผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์นาฬิกาคาสิโอ กล่าวว่าตลาดนาฬิกาในไทยปี 2556 ยังคงมีแนวโน้มการแข่งขันที่สูง เนื่องจากปัจจุบันมีแบรนด์ต่างๆ ในตลาดจำนวนมาก แต่บริษัทยังเชื่อมั่นในแบรนด์คาสิโอว่ามีความแข็งแกร่งและแตกต่าง โดยบริษัทจะทุ่มงบประมาณกว่า 50 ล้านบาท ในการจัดกิจกรรมทางการตลาดและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง ด้วยแคมเปญใหม่ เช่น การจัดงานครบรอบ 30 ปี ของนาฬิกาจี ช็อคในช่วงเดือนพฤษภาคม 2556, การเข้าร่วมงานจัดแสดงนาฬิกาตามห้างสรรพสินค้าชื่อดังต่างๆ อย่างต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด เป็นต้น

นอกจากนี้จะเน้นให้ความสำคัญกับดีลเลอร์หรือผู้แทนจำหน่ายรายย่อยกว่า 300 รายทั่วประเทศว่าเป็นพันธมิตรผู้ร่วมธุรกิจที่จะเติบโตไปพร้อมกัน เพื่อผลักดันให้ยอดขายเติบโตกว่า 50% ภายในสิ้นปี 2556

3 เค แบตเตอรี่ แบรนด์ไทย ไกลระดับโลก


updated: 01 มี.ค. 2556 เวลา 10:19:58 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ที่มาhttp://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1362061285&grpid=03&catid=08
สัมภาษณ์



ถามถึงแบตเตอรี่รถยนต์ คุณนึกถึงยี่ห้ออะไรบ้าง เชื่อว่าแบรนด์ 3 เค น่าจะอยู่ในอันดับต้น ๆ รอบปีที่ผ่านมา ถือว่าแบตเตอรี่ 3 เค ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ทั้งในแง่ของการสร้างยอดขาย รวมทั้งการสร้างแบรนด์ ด้วยการชูความเป็นสินค้าคนไทย ที่ก้าวไปสู่ความเป็นแบรนด์ระดับโลกได้เป็นอย่างดี

"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสพูดคุยกับพี่ชายคนโตของ 3 เค แบตเตอรี่ "หนึ่ง" วีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ ในฐานะรองประธานอาวุโส บริษัท ผลิตภัณฑ์ 3 เค จำกัด ถึงความสำเร็จของปีที่ผ่านมา รวมถึงแผนการรุกตลาดในปีนี้

- แผนงานในปีนี้

สำหรับปีนี้เรามีแผนงานสำหรับธุรกิจแบตเตอรี่ 3 เคเอง และยังมีแผนที่จะรุก การแตกไลน์ธุรกิจไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ ด้วย ทั้งที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ รวมทั้งขยายไปยังภาคธุรกิจอื่น ๆ นอกเหนือจากอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เบื้องต้นเราได้เตรียมงบประมาณสำหรับการลงทุนทั้ง 2 ส่วนไว้ที่ไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท เท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ราวไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยทั้ง 2 ธุรกิจนี้จะดำเนินการภายใต้แบรนด์ 3 เค

- การลงทุนเฉพาะ 3 เค แบตเตอรี่

สำหรับ 3 เค แบตเตอรี่เอง ก็จะมีการซ่อมบำรุงปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเครื่องจักรประจำปีราว ๆ 100 ล้านบาทเหมือนเช่นทุก ๆ ปี พร้อมทั้งเตรียมงบประมาณสำหรับการทำกิจกรรมทางการตลาด และประชาสัมพันธ์อีกไม่น้อยกว่า 130 ล้านบาท พร้อมกันนี้ เรายังได้ส่งสินค้าไฟติ้งแบรนด์ ยี่ห้อใหม่ภายใต้แบรนด์ "3 เค O&K" สำหรับทำตลาดและเจาะกลุ่มลูกค้าในกลุ่มปานกลางและระดับล่าง โดยจะทำตลาดควบคู่ไปกับแบตเตอรี่แบรนด์ 3 เค รวมถึงการใช้ช่องทางการจัดจำหน่ายเบื้องต้นได้ส่งแบตเตอรี่ 3 เค O&K สำหรับกลุ่มรถปิกอัพ ออกสู่ตลาดไปแล้วเมื่อเดือนมกราคม และอนาคตจะส่งแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์นั่งออกสู่ตลาดเช่นเดียวกัน โดยจะมีราคาจำหน่ายเฉลี่ยถูกกว่าแบตเตอรี่ 3 เค 15-20% และได้รับรองคุณภาพการผลิต มาตรฐานเดียวกันกับแบตเตอรี่ 3 เค

- เป้าหมายปีนี้

ปีนี้เราตั้งเป้าจะมีอัตราการเติบโต 20% หรือ 6,200 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าที่มีผลประกอบการ 5,000 ล้านบาท และโตขึ้นจากปีก่อน 5-10% ทั้งนี้เป็นผลมาจากกลุ่มลูกค้ารถคันแรกที่ซื้อไปช่วงแรก ถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่แล้ว ส่งผลให้ตลาดขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก บวกกับลูกค้ามีความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอย เนื่องจากทั้งเศรษฐกิจและการเมืองมีทิศทางที่ดีต่อเนื่องและนิ่งมากขึ้น โดยยอดขาย 6,200 ล้านบาทนั้นแบ่งเป็น แบรนด์ 3 เค 5,500 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศ 50% ส่งออกอีก 50% และแบรนด์ 3 เค O&K อีก 700 ล้านบาท

สำหรับสถานการณ์ของตลาดแบตเตอรี่ในตลาดทดแทน (อาร์อีเอ็ม) ในปีที่ผ่านมานั้น มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง มูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 6,500 ล้านบาท

แต่สำหรับนโยบายของบริษัทไม่ได้ลงไปเล่นสงครามราคาด้วย แล้วหันมาใช้กลยุทธ์การให้ของแถมที่มีมูลค่า และการให้สิทธิประโยชน์กับลูกค้าสมาชิกโดยเฉพาะ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและจะทำอย่างต่อเนื่องด้วย

- ความสำเร็จจากสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง

สำหรับปีที่ผ่านมาที่เราตัดสินใจรุกตลาดโดยชู "สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง" ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างมากสำหรับ 3 เค เพราะเราได้ในสิ่งที่เราต้องการ คือการสร้างแบรนด์ 3 เค ให้เป็นแบรนด์ของคนไทย ให้คนได้รับรู้และรู้จักเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่เฉพาะแต่คนไทยเท่านั้นร่วมถึงต่างชาติด้วย เราใช้งบประมาณมูลค่า 300 ล้านบาท เซ็นสัญญาเป็นผู้สนับสนุนระดับ Partnership กับสโมสรลิเวอร์พูล เป็นเวลา 3 ปีเต็ม ภายใต้แนวคิดที่ว่า "3 เค พลังหงส์แดงแรงระดับโลก" ซึ่ง 3 เค แบตเตอรี่ จะได้รับสิทธิ์ในการใช้ตราสัญลักษณ์ (โลโก้) ของสโมสรในทุกสื่อ รวมถึงโฆษณาทุกชิ้น

2.การใช้ภาพนิ่ง-เคลื่อนไหวในการทำกิจกรรมส่งเสริมทางการตลาดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าแต่เพียงผู้เดียว

3.ลิขสิทธิ์การทำพรีเมี่ยมและโปรโมชั่นต่าง ๆ และการทำกิจกรรมกับกลุ่มแฟนคลับในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว และยังมีโอกาสที่จะขยายออปชั่นไปสู่ระดับภูมิภาคและระดับโลกในอนาคตอีกด้วย

เราถือว่าการเข้าไปสนับสนุนตรงนี้ถือเป็นการช่วยยกระดับแบรนด์ได้มากขึ้น และยังเป็นการนำแบรนด์ของคนไทยสู่ระดับโลก และยังช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ และเรายังสามารถนำมาต่อยอดในด้านต่าง ๆ ได้

อีกค่อนข้างมาก แถมยังช่วยให้คนรู้จัก 3 เค เพิ่มมากขึ้น อย่างในต่างประเทศโดยเฉพาะตะวันออกกลาง เราก็พยายามใช้ตรงนี้เช่นกัน ส่วนการสนับสนุนกีฬาอื่น ๆ เราก็ยังคงทำอย่างต่อเนื่อง

- แผนการขยายเน็ตเวิร์ก

ปัจจุบันเรามีช็อป 3 เค แบตเตอรี่ อยู่ 200 แห่งทั่วประเทศ และมีร้านค้าจำหน่ายแบตของเราอีก 500 ร้านค้าที่ดูแลตลาด และร้านค้าย่อย ๆ อีก 4,000-5,000 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าเพียงพอต่อความต้องการอยู่แล้ว

วันเสาร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2556

น้ำอัดลม"แองกรี้เบิร์ด"ยอดขายอันดับ 1 แซงหน้า"โค้ก-เป็ปซี่"ในฟินแลนด์!?


จากมติชนออนไลน์
ที่มา http://www.dek-d.com/board/view.php?id=2631701
http://www.bangkok-today.com/node/14646
ไม่เพียงแค่เป็นหนึ่งในเกมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในสมาร์ทโฟนแล้ว แต่"แองกรี้เบิร์ด" ยังออกผลิตภัณฑ์น้ำอัดลม กระทั่งปัจจุบันกลายเป็นน้ำอัดลมที่ได้รับความนิยมสูงสุดในฟินแลนด์ เหนือแบรนด์ดังอย่าง"โคคา-โคลา"และ"เป็ปซี"
นายปีเตอร์ เวสเตอร์บัคก้า ประธานฝ่ายการตลาด บริษัท โรวิโอ เจ้าของเกมดังอย่างแองกรี้เบิร์ด ได้ประกาศข่าวดังกล่าวที่การประชุมในกรุงเฮลซิงกิ พร้อมทั้งเปิดเผยว่า บริษัทมีแผนที่จะวางจำหน่ายเครื่องดื่มชนิดนี้ในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในเร็วๆนี้ด้วย

รายงานข่าวของเว็บไซต์เน็กซ์ เว็บ ซึ่งรายงานข่าวนี้ เปิดเผยว่า มันมีรสชาติคล้ายเครื่องดื่มน้ำอัดลมยี่ห้อ Lilt ของบ.โคคา-โคลา ที่แต่งกลิ่นและรสให้คล้ายผลไม้เมืองร้อนหลายชนิด แต่มีรสหวานน้อยกว่า
ตามข้อมูลของบริษัท ระบุส่วนผสมหลักในเครื่องดื่ม ได้แก่ น้ำ น้ำตาล และฟรุกโตส โดยมีคอนเซ็ปต์ว่า "break the shackles" หรือ"ปลดปล่อยจากพันธนาการ" จากรสชาติเดิมๆของน้ำอัดลมทั่วไป

ทั้งนี้ มีการผลิต 4 รสชาติด้วยกัน ได้แก่ "ทรอปิค" หรือรสผลไม้เมืองร้อน, "พาราไดซ์" หรือรสสัปปะรดผสมส้มแมนดาริน, "ลากูน" หรือรสแอปเปิ้ลผสมลูกแพร์ และ "สเปซ โคเม็ต" หรือรสส้มผสมโคล่า นอกจากนั้นยังมีรสชาติสำหรับเด็ก ได้แก่ "Hello Kitty Raspberry" และ "HeviSaurus Pear" สนนราคาขายอยู่ที่กระป๋องละ 2.79 ยูโร หรือประมาณ 111 บาท ซึ่งในอนาคตอันใกล้นี้ทางผู้ผลิตเตรียมจะนำไปขายในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ด้วย

ที่ยอดขายสูงปรี๊ดแซงหน้ายี่ห้อที่ครองตลาดมาตลอดอย่างโค้กและเป็ปซี่ได้ขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเพราะรสชาติที่ถูกใจคนดื่ม หรือคลั่งไคล้ในตัวเกม Angry Birds กันแน่

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

ออราเคิลตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการจัดการโลจิสติก


ออราเคิลตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการจัดการโลจิสติกส์ เปิดตัวโซลูชั่น Oracle Transportation Management และ Oracle Global Trade Management รุ่นใหม่ล่าสุด

ที่มา http://www.ryt9.com/s/prg/1579107
กรุงเทพฯ--30 ม.ค.--พีซี แอนด์ แอสโซซิเอทส์ฯ
ออราเคิลตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านการจัดการโลจิสติกส์ เปิดตัวโซลูชั่น Oracle Transportation Management และ Oracle Global Trade Management รุ่นใหม่ล่าสุด
ดีเร็ค กิตโทส์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์โลจิสติกส์ของออราเคิล กล่าวว่า เพื่อรองรับการพัฒนาธุรกิจและการขยายตลาด ผู้ส่งสินค้า และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ควรมองหาหนทางใหม่ ในการเพิ่มความคล่องตัวและปรับปรุงกระบวนการจัดการการขนส่งและการค้าที่ซับซ้อน

“Oracle Transportation Management และ Oracle Global Trade Management รุ่นล่าสุดนี้ ออราเคิลได้ผสานความสามารถใหม่ อาทิ โมบายล์แอพพลิเคชั่นเฉพาะด้าน พร้อมส่วนปรับปรุงสำหรับแพลตฟอร์มการจัดการการขนส่งและการค้าทั่วโลก ที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดในอุตสาหกรรม เพราะเหตุนี้ออราเคิลจึงพร้อมให้ความช่วยเหลือแก่ลูกค้าเพื่อเพิ่มความคล่องตัวให้กับกระบวนการต่างๆ ลดต้นทุนค่าใช้จ่าย และป้องกันความเสี่ยง”

สำหรับ Oracle Transportation Management 6.3 และ Oracle Global Trade Management 6.3 นั้นจะประกอบด้วยส่วนปรับปรุง และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่รองรับการปฎิบัติตามระเบียบด้านการขนส่งและการค้าทั่วโลก รวมไปถึงกระบวนการทางศุลกากร อีกทั้งยังมาพร้อมความสามารถแปลกใหม่ด้านการจัดการการขนส่งและการค้าทั่วโลก รวมถึงการจัดการยานพาหนะ การจัดซื้อจัดจ้างด้านการขนส่ง ระบบธุรกิจอัจฉริยะด้านการขนส่ง การวางแผนการขนส่ง การขนส่งทางรถไฟ การจัดการเวิร์กโฟลว์และเหตุการณ์ การชำระเงินค่าขนส่ง การจัดทำบิล และการเคลม การจัดการเอกสาร และการจัดการด้านศุลกากร

ด้วยความสามารถใหม่ ลูกค้าจะสามารถใช้ประโยชน์จาก Oracle Transportation Management 6.3 และ Oracle Global Trade Management 6.3 เพื่อจัดการความต้องการที่สำคัญที่สุดสำหรับการจัดการการขนส่งและการค้าทั่วทั้งองค์กรในระดับโลก ดีเร็ค กล่าวเกี่ยวกับ Oracle Applications ลูกค้ากว่า 65,000 รายทั่วโลกไว้วางใจเลือกใช้แอพพลิเคชั่นระดับองค์กรแบบครบวงจรที่อ้างอิงมาตรฐานเปิด เพื่อให้ได้รับผลลัพธ์ที่เหนือกว่าออราเคิลจัดหาแนวทางที่ปลอดภัยเพื่อให้ลูกค้าใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีล่าสุดในการปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานซอฟต์แวร์สำหรับลูกค้า ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ Oracle Applications Unlimited แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของออราเคิลในการนำเสนอทางเลือกที่เหมาะสม ให้แก่ลูกค้า ด้วยการลงทุน อย่างต่อเนื่องและการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ก้าวล้ำสำหรับแอพพลิเคชั่นต่างๆ Fusion Applications รุ่นอนาคต ของออราเคิลได้รับการออกแบบเป็นพิเศษเพื่อให้ทำงานร่วมกับแอพพลิเคชั่นที่มีอยู่ได้ อย่างกลมกลืน และรองรับ การพัฒนาปรับปรุงในอนาคต นโยบายการสนับสนุนตลอดอายุการใช้งาน ของออราเคิลช่วยให้ลูกค้าที่มีทางเลือก ที่หลากหลายในการอัพเกรดระบบตามความต้องการขององค์กร ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแอพพลิเคชั่น ล่าสุดของออราเคิลได้ที่ www.oracle.com/applications

เกี่ยวกับออราเคิล
ออราเคิล (NASDAQ: ORCL) เป็นบริษัทที่นำเสนอระบบซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ทางด้านธุรกิจแบบครบวงจรบนมาตรฐานเปิดที่มีความครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุดในโลก ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับออราเคิลมีอยู่ที่ oracle.com

เกี่ยวกับออราเคิลในภาคอุตสาหกรรม
โซลูชั่นอุตสาหกรรมของออราเคิลใช้ประโยชน์จากกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดของบริษัทฯ เพื่อรองรับระบบงานธุรกิจที่ซับซ้อนสำหรับผู้ให้บริการสาธารณูปโภค ช่วยลดระยะเวลาในการนำบริการใหม่ออกสู่ตลาด ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความได้เปรียบด้านการแข่งขัน

เครื่องหมายการค้าOracle และ Java เป็นเครื่องหมายการค้าของออราเคิลและ/หรือบริษัทในเครือ ชื่ออื่นๆ อาจเป็นเครื่องหมายการค้าของเจ้าของ

วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

“อินเทล” หวังตลาดสมาร์ทโฟน-แท็บเล็ต พยุงตลาดโน้ตบุ๊ก


ที่มาhttp://www.manager.co.th/Cyberbiz/ViewNews.aspx?NewsID=9560000024568
“อินเทล” หันตามเทรนด์ตลาดสู่แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟน หลังเห็นแนวโน้มเหล่าผู้ผลิตเริ่มรักษาฐานลูกค้าพีซี ให้ความสำคัญกับแท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนแทน มองปัจจัยหลักทำให้อัลตราบุ๊กเติบโตช้า เนื่องจากซัปพลายหน้าจอทัชสกรีนไม่เพียงพอกับดีมานด์ในตลาด แต่มั่นใจว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในช่วงปลายไตรมาส 2
    
       นายสนธิญา หนูจีนเส้ง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและพัฒนาธุรกิจ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้ผลิตภัณฑ์ที่ถือว่าเป็นไฮไลต์ของอินเทลน่าจะอยู่ใน 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ตามเทรนด์ คือ สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต ที่เหล่าผู้ผลิตจะเริ่มทยอยนำเข้ามาวางจำหน่าในท้องตลาดมากขึ้น
    
       “อินเทลถือว่ายังใหม่ในตลาดนี้ การที่ยังไม่มีส่วนแบ่งในตลาดก็เท่ากับว่ายิ่งขายได้มากเท่าใดก็ยิ่งเติบโตแบบก้าวกระโดดมากเท่านั้น ที่สำคัญคือจากผลทดสอบต่างๆ ที่ออกมา หน่วยประมวลผลของอินเทลถือว่ามีประสิทธิภาพมากกว่าในระดับราคาที่ใกล้เคียงกัน”
    
       โดยในส่วนของตลาดสมาร์ทโฟนที่ใช้หน่วยประมวลผลอะตอมของอินเทล นอกจาก Acer C1 ซึ่งวางจำหน่ายในท้องตลาดในระดับราคาต่ำกว่าหมื่นบาท ถือเป็นตัวนำร่อง ก่อนที่จะมีรุ่นอื่นๆทยอยตามออกมาในตลาดภายในไตรมาส 2 นี้
    
       ขณะทีในตลาดแท็บเล็ต ซึ่งใช้หน่วยประมวลผลอะคอม และอินเทลคอร์ไอใบางรุ่น ที่ปัจจุบันมีแต่ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 ภายในช่วงกลางเดือนเมษายนก็จะเริ่มเห็นแท็บเล็ตที่ใช้ระบบแอนดรอยด์เข้ามาทำตลาดด้วย
    
       “จากข้อจำกัดของวินโดวส์ 8 ทำให้ผู้ใช้ไม่ได้เห็นแท็บเล็ตวินโดวส์ในราคาต่ำกว่าหมื่นบาท ดังนั้น อินเทลจึงต้องนำแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เข้ามาทำตลาดผ่านแบรนด์ผู้ผลิตรายหลักแทน เพื่อให้สามารถแข่งขันในตลาดได้”
    
       นายสนธิญากล่าวต่อว่า ทางอินเทลคาดการณ์ตลาดพีซีในประเทศไทยปีนี้ว่า จะเติบโตราว 5-6% จากปีที่ผ่านมาไอดีซีระบุว่ามีจำนวนเดสก์ท็อป และโน้ตบุ๊กในตลาดราว 3.7-3.8 ล้านเครื่อง ขณะที่ทางฝั่งผู้ผลิตพีซีก็ออกมาให้ความคิดเห็นในทิศทางเดียวกันว่า ปีนี้จะเน้นการรักษาฐานลูกค้าพีซีไว้ และหันมาเติบโตในตลาดแท็บเล็ต ซึ่งมีกำลังซื้อสูงกว่าแทน
    
       “ปีที่ผ่านมามี 3 เหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดพีซีไม่เติบโตเท่าที่ควร คือ การมาของแท็บเล็ตจีนราคาถูก การที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีโน้ตบุ๊กเครื่องหลักอยู่แล้ว จึงหันไปซื้อแท็บเล็ตเพิ่มแทน และสุดท้ายคือนโยบายรถคันแรกที่ทำให้นักศึกษาจบใหม่ หรือพนักงานที่เพิ่งเริ่มทำงานใช้เงินไปกับนโยบายดังกล่าวแทน”
    
       ส่วนในปีนี้เนื่องจากกระแสของแท็บเล็ตยังมาแรงอยู่ อินเทลจึงต้องมุ่งหวังกับตลาดของอัลตราบุ๊ก คอนเวอร์ทิเบิล ซึ่งเป็นฟอร์มเฟกเตอร์ที่อัปเกรดขึ้นมาจากเครื่องอัลตราบุ๊กเดิม ด้วยการใส่หน้าจอทัชสกรีนเข้าไป พร้อมกับรูปแบบการใช้งานที่สามารถปรับหมุนหน้าจอ สไลด์ พับ และถอดหน้าจอเพื่อให้กลายร่างเป็นแท็บเล็ต มาช่วยพยุงตลาดในฝั่งของโน้ตบุ๊กไว้
    
       “ตอนนี้อัลตราบุ๊กแบบคอนเวอร์ทิเบิลเริ่มทยอยเข้ามาวางจำหน่ายในตลาดแล้ว ซึ่งการตอบรับที่ได้ถือว่าดีมาก ของเข้ามาไม่เพียงพอกับการจำหน่าย เนื่องจากกำลังการผลิตไม่เพียงพอจากการขาดชิ้นส่วนของหน้าจอทัชสกรีน ส่งผลให้ผู้ผลิตหลายๆ รายไม่สามารถนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายได้เพียงพอกับความต้องการในท้องตลาด”
    
       ขณะเดียวกัน การมาของระบบปฏิบัติการวินโดวส์ 8 ที่มีความสามารถในการทัชสกรีนได้ จึงส่งผลให้อัลตราบุ๊กรุ่นเดิม ต้องทำการปรับราคาลงมาอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 หมื่นบาทแทน เพื่อให้สามารถขายได้ ส่วนอัลตราบุ๊ก คอนเวอร์ทิเบิล ระดับราคาก็จะเข้ามาแทนที่อัลตราบุ๊กเดิมที่ช่วงราคาสูงกว่า 25,000 บาท

ผู้นำ "จีอี" ถอดสมการ... โลกหลังวิกฤต ถึงเวลาธุรกิจตามล่าหาความยั่งยืน

ที่มา http://www.prachachat.net
แม้การเดินทางมาเยือนเมืองไทยของ "ดมิทรี สต๊อคตัน" ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของจีอี แคปปิตอล โกลบอล แบงกิ้ง และรองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโสของจีอี ที่ดูแลงานธนาคารโกลบอลแบงกิ้งและสินเชื่อผู้บริโภคของจีอี แคปปิตอล และกิจการใน 25 ประเทศ ทั้งในยุโรป ละตินอเมริกา และเอเชีย ในช่วงเวลาสั้นๆ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา จะมีภารกิจหลักอยู่ที่การมาร่วมลงนามในสัญญาขายหุ้นในธุรกิจการเงินเพื่อรายย่อยของจีอี มันนี่ในประเทศไทยให้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา

หากแต่ท่ามกลางตารางเวลานัดหมายที่ยาวเหยียด เขาให้เวลาส่วนหนึ่งในการมาร่วมพบปะพูดคุยและมอบประกาศนียบัตร ให้กับผู้หญิงในบ้านพักฉุกเฉินของสมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯ ที่เข้าร่วมอบรมในโครงการ "ผู้หญิงรอบรู้เรื่องเงิน" โครงการเพื่อสังคมที่มุ่งเน้นการให้ความรู้ พื้นฐานทางการเงินกับผู้หญิงด้อยโอกาส ซึ่ง "จีอี มันนี่" ประเทศไทยจัดขึ้น และถือเป็นหนึ่งในนโยบายด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร (CSR) ของจีอี แคปปิตอล โกลบอล แบงกิ้ง ทั่วโลก ที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้หญิงด้อยโอกาสที่มีอยู่มากกว่า 700 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งดำรงชีวิตอยู่ด้วยเงินไม่ถึงวันละ 1 ดอลลาร์ ภายใต้โครงการ "Banking on Woman" (อ่านรายละเอียดใน Banking on Woman ผู้หญิง-การเงิน-ความยั่งยืน)

ความที่อยู่ภายใต้ร่มเงาของ "จีอี" ยักษ์ใหญ่ในโลกที่มีผลิตภัณฑ์และบริการครอบคลุมทั้งระบบโครงสร้างสาธารณูปโภค พื้นฐาน การเงิน การสื่อสาร ในกว่า 100 ประเทศทั่วโลก และถือเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะความพยายามในการเปลี่ยนทฤษฎีที่ว่าด้วยการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เป็นรูปธรรมในทางปฏิบัติ ผ่านโมเดลธุรกิจใหม่ๆ อย่าง GE Ecomagination ในการสร้างนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อมที่สามารถใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพและลดการปล่อยมลพิษ รวมไปถึงล่าสุดในธุรกิจ Healthymagination ซึ่งเป็นการลงทุนแบบใหม่ที่ช่วยให้คนได้มีโอกาสเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่มีคุณภาพได้ในราคาที่ถูกลงผ่านนวัตกรรมด้าน สุขภาพ

การที่ "ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ "ดมิทรี สต๊อคตัน" แม้จะเป็นเพียงเวลาสั้นๆ แต่ก็เพียงพอที่จะสะท้อน ให้เห็นวิธีคิดและทิศทางของ "จีอี" ในการทำธุรกิจด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไปตลอด จนมุมมองต่อความจำเป็น ทางเลือก และทางรอดของธุรกิจทั่วโลก

ความรับผิดชอบที่มากขึ้นในวิกฤต

"สต๊อคตัน" กล่าวว่า "แม้วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นเวลานี้มีหลายปัจจัย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็สะท้อนให้เห็นว่าธุรกิจต่างๆ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น ต้องมีพันธสัญญากับสังคมเพื่อให้กิจการนั้นสามารถดำรงอยู่ได้มากขึ้น เพราะเราไม่สามารถกีดกันภาคธุรกิจออกไปจากสังคมได้ ในวิกฤตที่เกิดการว่างงานจำนวนมาก เราก็พยายามอย่างมากที่จะไม่ผลักดันคนของเราให้กลายเป็นคนตกงาน เพราะนั่นถือว่าเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างหนึ่ง"

และเชื่อว่าการทำ CSR ของจีอีนั้นส่งผลให้จีอีสามารถดำเนินกิจการมาอย่างยาว นานได้ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก เพราะความรับผิดชอบของบริษัทนอกจากทำให้สังคมดีขึ้น และยังทำให้การประกอบกิจการของบริษัทดีขึ้นด้วย อย่างโครงการหนึ่งที่จีอีทำมานานคือ การเป็นผู้ให้กู้อย่างมีความรับผิดชอบ ซึ่งก่อนหน้าวิกฤตทางการเงินที่กำลังเกิดขึ้นหลายบริษัทอาจจะไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ แต่สำหรับเราทำเรื่องนี้มาก่อนแล้ว และเมื่อวิกฤตทางการเงินเกิดขึ้น ยิ่งทำให้เห็นว่า โครงการที่ทำไปแล้วในการเป็นผู้ให้กู้อย่างมีความรับผิดชอบเป็นประโยชน์มาก และในฐานะผู้ให้กู้เรามีความพยายามอย่างมากที่จะให้ลูกค้าทำความเข้าใจและเลือกผู้ให้กู้ที่มีความรับผิดชอบในการทำธุรกรรม

บริษัทต้องมียุทธศาสตร์สนับสนุนชุมชน

"ในปีนี้เฉพาะ "จีอี แคปปิตอล โกลบอล แบงกิ้ง" ใช้เงินกว่า 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการดำเนินโครงการเพื่อสังคมทั่วโลก โดยมีเป้าหมายในการสร้างความรับผิดชอบกับสังคมโลก โดยเฉพาะในประเทศที่เข้าไปดำเนินกิจการ และมีนโยบายในการสนับสนุนการทำโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคม เช่นที่ทำอยู่ในประเทศไทยขณะนี้ และยังได้คิดสร้างโครงการที่จะเป็นการให้การศึกษาด้านการเงินให้กับผู้คนในหลายพื้นที่ ซึ่งมีเป้าหมายว่าจะขยายโครงการไปทั่วโลก โดยเฉพาะใน 25 ประเทศที่ได้เข้าไปดำเนินกิจการ โดยมีความตั้งใจให้ทีมงานของจีอีในแต่ละประเทศได้มีบทบาทในฐานะผู้นำโครงการและเป็นผู้คิดสร้างสรรค์โครงการด้วยตัวเอง"

"การทำโครงการแบบนี้ยังส่งผลดีต่อพนักงานของจีอีเอง ที่โครงการเหล่านี้ก็จะช่วยเขาได้ในการได้มีส่วนร่วมในความรับผิดชอบในสังคมที่เขาอยู่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อทั้งตัวพนักงานและองค์กร ที่เราคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ควรทำ ซึ่งเวลาจะทำโครงการเพื่อสังคมควรเริ่มทำจากสิ่งเล็กๆ ทำให้แน่ใจก่อน ว่าสิ่งที่ทำนั้นมาถูกทาง ซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมาเอง อย่างในโครงการผู้หญิงรอบรู้เรื่องการเงิน การที่ผู้หญิงเหล่านี้จะลุกขึ้นมารู้วิธีปรับตัวให้อยู่กับโลกปัจจุบัน หาเลี้ยงชีพ เปิดธุรกิจของตัวเองในอนาคต เมื่อพวกเขามีรายได้ก็ทำให้สามารถมีกำลังพอสำหรับการศึกษาของบุตรหลาน หากสิ่งนี้เกิดขึ้นก็ต้องถือว่าเราประสบความสำเร็จ ถ้ามีโอกาสก็อยากกลับมาที่เมืองไทยอีกในอนาคตเพื่อดูสิ่งที่เราทำในวันนี้"

อย่างไรก็ตามเขามองว่า บริษัทที่คิดเรื่องความยั่งยืนอย่างจริงจังในโลกนี้ย่อมมีแผนหรือยุทธศาสตร์ในเรื่องการส่งเสริมสนับสนุนการทำงานร่วมกับชุมชนที่กิจการนั้นตั้งอยู่ ซึ่งอาจจะเรียกว่า CSR หรือไม่ว่าจะเรียกว่าอะไร แต่เป็นเรื่องถูกต้องที่ควรจะทำ โดยจีอีเองต้องการเป็นผู้นำและมีบทบาทในเรื่องนี้ โดยต้องการประเมินผลที่เกิดขึ้น และสิ่งที่จะตามมาหลังจากการทำงานในเรื่องเหล่านี้ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

กลยุทธ์ I"m Mac สร้างแม่เหล็กดูดนักศึกษาทำงาน

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

นับจากปี 2551 ที่บริษัท แมคไทย จำกัด เจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์แมคโดนัลด์กว่า 181 สาขาทั่วประเทศเปิดโครงการความร่วมมือทางการศึกษากับสำนักงานคณะกรรมการอาชีวศึกษา ด้วยการเชิญชวนนักเรียน-นักศึกษาในระดับ ปวช.-ปวส.เข้าร่วมโครงการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคี เพื่อเรียนทฤษฎี พร้อมกับฝึกปฏิบัติงานในร้านแมคโดนัลด์จนมีนักเรียน-นักศึกษาเข้าร่วมโครงการกว่า 437 คนใน 437 คน มีนักเรียน-นักศึกษาหลายคนทำงานกับแมคโดนัลด์ จนกระทั่งเติบโตกลายเป็นผู้จัดการร้านในแต่ละสาขาจำนวนมาก


กระทั่งในปี 2556 ทางผู้บริหารแมคโดนัลด์ จึงขยายผลความร่วมมือไปยังมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และล่าสุดมีมหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการความร่วมมือทางการศึกษาถึง 9 มหาวิทยาลัยชั้นนำมีวิทยาลัยอาชีวศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วม 15 วิทยาลัย

ถ้ามองถึงความร่วมมือทางการศึกษา ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะนักเรียน นักศึกษาที่เข้าโครงการจะต้องมีเกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.5 ในระดับ ปวช.-ปวส. และส่วนใหญ่เรียนทางด้านค้าปลีก

ขณะที่ระดับปริญญาตรีจะเรียนทางด้านการจัดการ และคหกรรมศาสตร์ดังนั้น เมื่อนำเขาเหล่านั้นมาปรับเข้ากับหลักสูตรของแมคโดนัลด์ ก็เชื่อแน่ว่าจะกลายเป็นจุดแข็งอย่างหนึ่ง เพราะนอกจากจะได้เรียนทฤษฎีจากวิทยาลัย และมหาวิทยาลัย เขายังได้ฝึกภาคปฏิบัติจากการทำงานจริง จนทำให้เขาได้เรียนรู้ทั้งจากภาคทฤษฎี และปฏิบัติไปพร้อม ๆ กัน

ทั้งจำนวนความสนใจของนักเรียน-นักศึกษาที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะกลยุทธ์ปากต่อปาก จากรุ่นพี่ถึงรุ่นน้องได้บอกต่อ ๆ กันว่านอกจากจะได้เบี้ยเลี้ยงจากการทำงานชั่วโมงละ 40-44 บาท/วัน ยังได้ค่าล่วงเวลา
ทั้งยังมีทุนการศึกษามอบให้อีก โดยระดับทวิภาคี ปวช.1,000 บาท/ภาคการศึกษา, ปวส.1,500 บาท/ภาคการศึกษา, ปริญญาตรี 5,000 บาท/ภาคการศึกษา แต่ถ้าเป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปี 3-4 ทุนการศึกษาจะจ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 20,000 บาท/ภาคการศึกษา ทั้งนั้น ผู้รับทุนปี 3 จะต้องทำงานใช้ทุน 1 ปีหากผู้รับทุนปี 4 จะต้องทำงานใช้ทุน 6 เดือน

โดยเรื่องนี้ "จิระวัฒน์ แต่งเจนกิจ" ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท แมคไทย จำกัด อธิบายว่า...โครงการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีเปิดรับนักเรียนระดับ ปวช. ปวส. และปริญญาตรีจากทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการ โดยรูปแบบของหลักสูตรจะเป็นการนำเอามาตรฐานการเรียนรู้ของแมคโดนัลด์ ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันทั่วโลกมาปรับให้เข้ากับหลักสูตร

"การเรียนการสอนของวิชาการขายปลีกแบ่งเป็นการเรียนในห้องเรียน 2 วัน/สัปดาห์ และการฝึกงานภายในร้านแมคโดนัลด์ 4 วัน/สัปดาห์ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์จริงในการทำงาน ดังนั้น นักเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับวุฒิการศึกษาเมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว"

"ทั้งยังได้ทุนการศึกษาจากแมคโดนัลด์ในแต่ละภาคเรียนด้วย และหลังจากจบการศึกษาเขาสามารถทำงานในร้านแมคโดนัลด์ โดยไม่ต้องเริ่มต้นจากพนักงานใหม่ แถมยังได้รับประกาศนียบัตร และหนังสือรับรองการทำงานจากแมคโดนัลด์ เพื่อไปอ้างอิงสำหรับการทำงานในอนาคตด้วย"

นอกจากนั้น "จิระวัฒน์" ยังกล่าวถึงโครงการสหกิจศึกษาที่เปิดโอกาสให้นักศึกษาระดับ ปวช. ปวส. และปริญญาตรีเข้ามาฝึกงานภายในร้าน ซึ่งนักศึกษาจะได้รับทั้งหน่วยกิต และค่าจ้างระหว่างฝึกงาน รวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ ทั้งเครื่องแบบพนักงาน เบี้ยขยัน อาหารสำหรับพนักงาน และประกันชีวิต

"ทั้งนี้ แมคโดนัลด์ยังมอบทุนการศึกษาให้กับนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 3-4 จำนวน 100 ทุน ซึ่งเป็นทุนที่มอบให้พนักงานแมคโดนัลด์ และนักศึกษาทั่วไป"

ที่สำคัญ "จิระวัฒน์" ยังเปรยให้ฟังถึงการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ถ้ามีนักศึกษาในระดับปริญญาตรี จากประเทศเพื่อนบ้านอยากฝึกงานกับแมคโดนัลด์ก็สามารถทำได้ แต่หลังจากฝึกงานเสร็จ จะรับเข้าทำงานหรือไม่ ต้องมาดูอีกที

เพราะเขาอาจแค่อยากทำพาร์ตไทม์ก็ได้แต่สิ่งหนึ่งที่ "จิระวัฒน์" สะท้อนภาพในความเป็นจริง คือในธุรกิจฟาสต์ฟู้ดเติบโตต่อเนื่อง เราจึงต้องขยายสาขา และรับคนเพิ่มอยู่ตลอด คู่แข่งก็คิดเช่นเดียวกับเรา

"ดังนั้น โครงการความร่วมมือทางการศึกษา ก็เหมือนกับเราออกเรือไปหาปลาในน่านน้ำเดียวกับที่ทุกคนต้องการ สุดท้ายพอผ่านไประยะ จะเหลือปลาอยู่ในแห หรืออวนนิดหน่อย เพราะปลา หรือคนมาจากแหล่งเดียวกัน เราจึงต้องพยายามให้แมคโดนัลด์แปลงสภาพเป็น magnet หรือแม่เหล็ก เพื่อดึงดูดคนที่มีความสามารถ และคนที่ฟิตกับวัฒนธรรมองค์กรของเรา เพื่อมาอยู่กับเรามากที่สุด"

โครงการร่วมมือทางการศึกษาก็คือ magnet ตัวหนึ่งที่เราเชื่อว่าจะทำให้คนของเราภูมิใจในความเป็น...I"m Mac
ที่อยากให้น้อง ๆ นักเรียน-นักศึกษามีอนาคตที่ดี !

updated: 11 มี.ค. 2556 เวลา 15:19:30 น.

เซ็นทรัล รีเทล ไปไกล รุกขยายการลงทุนในยุโรป

ที่มาhttp://www.centralretail.com/th/news_popup.php?id=85


กรุงเทพฯ - 12 มีนาคม 2556 : เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้สร้างบันทึกหน้าใหม่ให้กับวงการค้าปลีกโลก ด้วยการเข้าซื้อกิจการ ห้างสรรพสินค้า อิลลุม (ILLUM) ประเทศเดนมาร์ก ซึ่งเป็นหนี่งในห้างที่มีชื่อเสียงในกลุ่มชาวสแกนดิเนเวีย การเข้าซื้อกิจการในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของแผนกลยุทธ์การขยายกิจการของเซ็นทรัลรีเทลฯ หลังจากที่ได้เข้าซื้อ ลา รีนาเชนเต้ ห้างสรรพสินค้าหรูอันดับหนึ่งของอิตาลีไปแล้วเมื่อปี 2554 ด้วยประสบการณ์อันเชี่ยวชาญกว่า 65 ปีในการบริหารห้างสรรพสินค้าของเซ็นทรัลรีเทลฯและทีมงานที่มากด้วยความสามารถจาก ลา รินาเชนเต้ วันนี้เราพร้อมที่จะนำความสามารถและประสบการณ์ด้านค้าปลีกมาประสานกัน เพื่อบริหารห้างฯดัง “อิลลุม” ให้โดดเด่นและโดนใจกลุ่มเป้าหมาย เพื่อเป็นห้างชั้นนำระดับโลก ซึ่งรวบรวมหลากหลายสินค้าชั้นเลิศมีรสนิยมและเอกลักษณ์เฉพาะตัว เลือกสรรมาเฉพาะให้กับลูกค้า

การขยายกิจการสู่ประเทศเดนมาร์กในครั้งนี้ ถือเป็นการประกาศศักยภาพของ บริษัท เซ็นทรัลรีเทลฯ ใน ฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกสัญชาติไทย ที่ก้าวเข้าสู่เวทีการแข่งขันระดับโลกและเป็นอีกจุดเริ่มต้นในการขยายขีดความ สามารถสู่ตลาดในทวีปยุโรป

ห้างสรรพสินค้า อิลลุม มีอายุมากกว่า 120 ปี ถือกำเนิดขึ้น ในปี 2434 ตั้งอยู่ใจกลางของเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก บนพื้นที่ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นศูนย์กลางย่านช้อปปิ้งที่ดีที่สุดของเมืองโคเปนเฮเกน โดยห้าง สรรพสินค้า อิลลุม มีพื้นที่มากกว่า 20,000 ตารางเมตรนำเสนอสินค้าหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น ความงาม และ ของตกแต่งบ้าน โดยผสมผสานทั้งแบรนด์สแกนดิเนเวียและแบรนด์นานาชาติได้อย่างลงตัว


ทศ จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เซ็นทรัล รีเทลฯ กล่าวถึงการขยายการลงทุนครั้งนี้ว่า “การซื้อ ห้างฯ อิลลุม ถือเป็นอีกส่วนหนึ่งของแผนการขยายธุรกิจที่วางไว้ของเซ็นทรัล รีเทลฯ ซึ่งครั้งนี้จะใช้เงินทุนไปในการเพิ่มคุณค่าของห้างฯ อิลลุม ที่มีประวัติศาตร์อันยาวนาน โดยจะมีการปรับกลยุทธ์ทางการตลาดรวมถึงการคัดสรรสินค้า การนำเสนอสินค้าที่ตรงตามความต้องการของลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากขึ้น เพื่อให้ ห้างฯ อิลลุมเป็นห้างหรูที่เสนอสินค้าชั้นเลิศที่มีเอกลักษณ์และตอบสนองความต้องการของลูกค้าระดับบนอย่างแท้จริง”

ทางด้านผู้นำทีมบริหารห้างฯ ลา รีนาเชนเต้ อัลแบร์โต บัลดาน ประธานกรรมการบริหาร ให้ข้อมูลว่า “การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของห้างฯ ลา รีนาเชนเต้ในช่วงที่ผ่านมา เป็นการแสดงถึงความพร้อมที่จะนำเอาประสบการณ์และความชำนาญที่สั่งสมมานาน ขยายออกไปยังต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ด้านการบริหารห้างสรรพสินค้า ความรู้ในด้านตลาดสินค้าลักชัวรี (Luxury brands) และการบริหารจัดการธุรกิจค้าปลีก ซึ่งประสบการณ์และความชำนาญทั้งหมดนี้ จะถูกนำมาหลอมรวมกันเพื่อต่อยอดให้กับ ห้างฯ อิลลุม ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าร้อยปีให้ขึ้นเป็นห้างชั้นนำ และ ดึงดูดต่อลูกค้าได้เป็นอย่างดี”

ทศ จิราธิวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “จากการขยายกิจการในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องของเซ็นทรัลรีเทลฯ ซึ่งสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงให้กับ ลา รีนาเชนเต้ รวมถึงโครงการณ์สร้างแฟลกชิบสโตร์แห่งใหม่ใจกลางกรุงโรมที่จะแล้วเสร็จในปีหน้า ได้สร้างชื่อเสียงของเซ็นทรัลรีเทลฯให้เป็นที่รู้จักในตลาดยุโรป และสะท้อนให้เห็นศักยภาพของ ลา รีนาเชนเต้ ที่พร้อมก้าวข้ามสู่ความท้าทายรูปแบบใหม่ในระดับนานาชาติ และในครั้งนี้ ห้างฯ อิลลุม นับเป็นโอกาสสำคัญที่จะเติมเต็มกลยุทธ์เพื่อก้าวสู่การเป็น “Collection of Stores” อย่างแท้จริง โดยรูปแบบกลยุทธ์ “Collection of Stores” นี้จะสร้างปรากฏการณ์ที่แตกต่าง โดยเป็นการรวมรวมห้างชั้นนำในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี เดนมาร์ค เข้าไว้ในเครือเดียวกัน ภายใต้บริษัทเซ็นทรัลรีเทลฯ มีการสร้างภาพสะท้อนของความเป็นหนึ่งเดียว แต่ในขณะเดียวกัน ยังรักษาจุดเด่นและคงเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมผสานเรื่องราวของแต่ละโลเคชั่นเข้ามารวมไว้ ดังนั้น แต่ละห้างฯในแต่ละประเทศจะเป็น สถานที่ที่ทุกคนต้องแวะมาเยี่ยมชมและใช้บริการ ด้วยสินค้าและบริการอันเป็นเลิศแก่ลูกค้า

เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น 

บริษัท เซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีก การบริหารงานห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสเปเชี่ยลตี้สโตร์ (Specialty Stores) ในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยบริษัทในเครือที่ดำเนินธุรกิจภายใต้เซ็นทรัลรีเทล ได้แก่ เซ็นทรัล, ลา รีนาเชนเต, เซน, โรบินสัน, เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์, ท็อปส์, เพาเวอร์บาย, ซูเปอร์สปอร์ต, บีทูเอส, โฮมเวิร์ค, ไทวัสดุ, แฟมิลี่มาร์ท และออฟฟิซเมท ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีสำหรับผู้บริโภคชาวไทย ตลอดจนนักท่องเที่ยวรวมไปถึงนักธุรกิจในแวดวงค้าปลีกในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก มาเป็นเวลากว่า 65ปีแล้ว ปัจจุบันเซ็นทรัลรีเทล มีจำนวนสาขาทั้งสิ้นมากกว่า 1,400 สาขา ทั้งในและต่างประเทศด้วยจำนวนพนักงานกว่า 66,000 คน

ลา รินาเชนเต้ 

ลา รินาเชนเต้ เป็นห้างสรรพสินค้าหรูชั้นนำที่มีความโดดเด่นอันทรงคุณค่าของอิตาลี มีสาขามากถึง 11 สาขา ตั้งอยู่ใจกลางเมืองต่างๆอันเป็นศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้งของอิตาลี นำเสนอสินค้าชั้นนำด้านแฟชั่น เครื่องประดับ ความงาม ของตกแต่งบ้าน จนกระทั่งสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำ โดย ลา รินาเชนเต้ ตั้งใจนำเสนอแต่สินค้าชั้นเลิศและทันสมัยให้กับลูกค้าที่มีระดับ ด้วยสินค้าของดีไซน์เนอร์ชั้นนำทั้งในอิตาลีและจากนานาประเทศทั่วโลก

ในช่วงเวลา 7 ปีที่ผ่านมา ลา รินาเชนเต้ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างมากภายใต้การบริหารงานของ วิททอริโอ ราดิเช รองประธานกรรมการบริหารห้างสรรพสินค้า ลา รินาเชนเต้ และอัลเบอร์โต บัลเดน ประธานกรรมการบริหารห้างสรรพสินค้า ลา รินาเชนเต้ ทั้ง 2 ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบของห้างรวมถึงการสรรหาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าชั้นนำ เพื่อนำไปสู่ความเป็นห้างสรรพสินค้าหรูอันดับหนึ่ง ที่มุ่งเน้นการนำเสนอประสบการณ์การช้อปปิ้งระดับโลก



อิลลุม

ห้างสรรพสินค้าชั้นนำที่เป็นที่รู้จักเป็นอย่างดีในเมืองโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เสนอสินค้ามุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายระดับกลางและระดับบน อีกทั้งนำเสนอสินค้า แฟชั่น ความงาม ของตกแต่งบ้าน งานออกแบบ กว่า 120 แบรนด์ทั้งจากสแกนดิเนเวียและจากนานาชาติ เป็นแหล่งช้อปปิ้งที่รองรับผู้มาเยือนถึง 6.5 ล้านคนต่อปี

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

"ร้านอาหารมัลติแบรนด์" ฮิต "ล็อกซเล่ย์" ทุ่ม 100 ล.เปิด 10 สาขา

ที่มา http://www.prachachat.net
updated: 15 ก.พ. 2556 เวลา 09:00:08 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ด้วยพฤติกรรมการทานอาหารนอกบ้านที่ฮอตฮิตมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มคนเมืองทั้งวัยรุ่น และหนุ่มสาวออฟฟิศ ซึ่งพฤติกรรมการทานอาหารมักมากันเป็นกลุ่มแก๊ง ทำให้ "วาไรตี้" ของอาหารเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้น ส่งผลให้บรรดาค่ายร้านอาหารต่าง ๆ เริ่มปรับตัวและหันมาตอบโจทย์ในเรื่องนี้มากยิ่งขึ้น

โดยเฉพาะกับค่ายร้านอาหารที่มีแบรนด์หลากหลายอยู่ในมือ ด้วยการผนึกกำลังแบรนด์ต่าง ๆ ในเครือมาอยู่ในที่เดียวกัน หรือที่เรียกว่า "มัลติแบรนด์" ซึ่งหลายปีก่อนเคยเป็นที่ฮอตฮิต อาทิ ค่าย "ยัม แบรนด์ส" ที่รวม "เคเอฟซี" และ "พิซซ่า ฮัท" มาอยู่ในที่เดียวกัน ที่เห็นชัดคือกลุ่ม "ล็อกซเล่ย์" ที่หันมาบุกธุรกิจร้านอาหารในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ด้วยคอนเซ็ปต์ "มัลติแบรนด์" ร้านอาหารญี่ปุ่น


"วิทวัส มีสมมนต์" ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจบริการอาหาร บริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า หลังจากเปิดร้านในรูปแบบมัลติแบรนด์ด้วยการเปิดสาขาร้านอาหารญี่ปุ่นแบรนด์ AI (อัย) 

ภายใต้คอนเซ็ปต์ "เจแปนนิส วิลเลจ" โดยมีร้านอาหารญี่ปุ่น 5 ประเภทรวมอยู่ในที่เดียวกัน ตั้งแต่กลางปี 2554 ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 4 สาขา ได้แก่ เมกาบางนา, พรอมานาด, เดอะไนน์ และเทอร์มินอล 21 ซึ่ง

ถือว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า ทำให้ปีนี้บริษัทจะเดินหน้าเปิดสาขาโดยเตรียมทุ่มงบฯอีก 100 ล้านบาท เปิดอีก 10 สาขาในปีนี้ โดยจะเป็นทั้งร้านที่เป็นมัลติแบรนด์ และร้านเดี่ยวที่แยกออกไป ปัจจุบัน 5 แบรนด์ที่รวมอยู่ใน "อัย" ประกอบด้วย พิซซ่าญี่ปุ่น โดบิโทริ, ราเมน เท็ตสึเมน ซึ่งเป็น 2 แบรนด์ที่ซื้อลิขสิทธิ์มา อีก 3 แบรนด์บริษัทพัฒนาขึ้นเอง ประกอบด้วย "เมชิยะ" ข้าวหน้าญี่ปุ่น, วากิว ชาบู สุกียากี้ และอัย ซูชิ

"ปีนี้สาขาใหญ่ที่เป็นมัลติแบรนด์จะมีประมาณ 3-4 สาขา ส่วนอีก 5-6 สาขาจะเลือกแต่ละแบรนด์แยกไปเปิดต่างหาก ขึ้นอยู่กับทำเลและกลุ่มผู้บริโภคในละแวกนั้น" 

อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ต้องเริ่มแยกแบรนด์ออกไปในปีนี้ไปเปิดต่างหาก นอกจากเป็นศักยภาพของแต่ละแบรนด์ที่จะแยกได้แล้ว ยังเป็นเรื่องของพื้นที่ใหญ่ที่หายากขึ้น แต่บริษัทก็ยังเดินหน้าเปิดสาขาใหญ่เพื่อตอบโจทย์ความหลากหลาย 

นอกจากนี้ ร้านมัลติแบรนด์ยังทำให้เกิดอิมแพ็กต์และสามารถรองรับลูกค้าจำนวนมาก เขาชี้ว่า ปัจจุบันเทรนด์ของคนไทยเลือกทานอาหารที่เป็นออริจินอลมากขึ้น คือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางในอาหารประเภทใดประเภทหนึ่ง สิ่งนี้ชัดเจนมากในธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น บริษัทจึงใช้คอนเซ็ปต์ของ "มัลติแบรนด์" ของบริษัทว่า "ออริจินัล วาไรตี้" โดยนำอาหาร 5 ประเภทมาอยู่ร่วมกันในพื้นที่เดียวกัน 

"ตรงนี้ตอบโจทย์การมาเป็นกลุ่มเพื่อนได้หลากหลาย เพราะแต่ละคนชอบไม่เหมือนกัน มีทั้งที่นั่งตรงกลาง หรือจะนั่งแยกไปแต่ละแบรนด์ซึ่งจะมีที่นั่งต่างหาก มีเมนูของแต่ละร้านซึ่งสั่งร่วมกันได้" 

ล่าสุดค่าย "นารายณ์พิซเซอเรีย" ในเครือเจ.เพรส ก็เตรียมเปิดตัวคอนเซ็ปต์ "อินเตอร์บุฟเฟ่ท์" ในไตรมาสแรกของปีนี้ที่คอมมิวนิตี้มอลล์ย่านราชพฤกษ์ ซึ่งบริหารโดยนารายณ์พิซเซอเรียเช่นกัน

"สรัญญา เปรมสุมณี" กรรมการผู้จัดการ บริษัท นารายณ์พิซเซอเรีย จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้คิดชื่อร้านแต่จะเปิดในพื้นที่ขนาดใหญ่ถึง 400-500 ตารางเมตร เป็นการทดลองคอนเซ็ปต์เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคในย่านดังกล่าวที่มีกำลังซื้อสูง โดยรวบรวมอาหารไทย จีน ญี่ปุ่น อิตาลี เนื่องจากทางกลุ่มมีร้านนารายณ์พิซเซอเรียที่เป็นคอนเซ็ปต์อาหารอิตาลี และ "คันไซ" ที่เป็นอาหารญี่ปุ่น 

"ผู้บริโภคต้องการความหลากหลายต่อหัวอยู่ที่ 300-400 บาทยังไม่ได้สรุป ปัจจุบันยังไม่มีใครทำคอนเซ็ปต์นี้ในศูนย์การค้า ของเราตรงนี้จะเป็นกึ่งเอาต์ดอร์ ย่านนั้นส่วนใหญ่เป็นสวนอาหาร และร้านอาหารทั่ว ๆ ไป เราจึงต้องการทำอะไรที่พิเศษ"

นอกจากมัลติแบรนด์ที่เริ่มเห็นมากขึ้น อีกเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นในธุรกิจร้านอาหารเมืองไทยก็คือ "ฟู้ดคอร์ต" ที่มีการยกระดับให้พรีเมี่ยมขึ้น โดยนำร้านอาหารดัง ๆ จากภายนอกเข้ามาเปิดให้บริการล้างภาพฟู้ดคอร์ตหน้าตาเดิม ๆ ตามศูนย์การค้าที่เราเห็นกันมาในอดีตไปอย่างสิ้นเชิง 

ที่เห็นชัดคือ "ฟู้ด รีพับลิก" และ "ซีพี ฟู้ดเวิลด์" ที่เริ่มเข้ามาบุกตลาดในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ในส่วนของซีพี ฟู้ดเวิลด์ แน่นอนว่าโจทย์หลักคือการผนึกร้านอาหารในเครือซีพีมาอยู่ร่วมกัน โดยระยะแรกยังต้องอาศัยพันธมิตรที่เป็นแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมาช่วยดึงลูกค้า 

ขณะที่ฟู้ด รีพับลิก เชนดังจากสิงคโปร์ แตกต่างกันที่ไม่เน้นพัฒนาแบรนด์ของตัวเอง แต่เน้นดึงพันธมิตรที่เป็นร้านอาหารต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงมาอยู่ร่วมกัน โดยโจทย์คือแต่ละร้านต้องพัฒนาโมเดลใหม่ที่

แตกต่างจากร้านที่มีอยู่ เพื่อสร้างความพิเศษและแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ตอบโจทย์มากขึ้น ไซซ์ที่เล็กลง หรืออาจถึงขั้นเปิดแบรนด์ใหม่เพื่อฟู้ด รีพับลิกโดยเฉพาะ 

วันนี้ด้วยความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ศักยภาพของผู้ประกอบการที่เป็น "กลุ่มธุรกิจร้านอาหาร" ถือเป็นความได้เปรียบที่สำคัญ ท่ามกลาง "ตัวเลือก" ร้านอาหารที่มากมายในยุคนี้

เอไอจีคืืนสังเวียนประกันวินาศภัย ล้างแบรนด์ "ชาร์ทิส" พร้อมเดินหน้าลุยตลาดไทย มั่นใจโตต่อเนื่องปีละ 15% ต่อกัน 5 ปีรวด


ที่มาhttp://www.acnews.net/
หลังจากแบรนด์ประกันภัยรายยักษ์สัญชาติอเมริกันอย่าง "อเมริกัน อินเตอร์เนชั่นแนล กรุ๊ป" หรือ "เอไอจี" ที่เคยประสบปัญหาวิกฤตการเงินที่เคยถาโถมเข้าใส่จนเซและรัฐบาลสหรัฐต้องเข้ามาอุ้มด้วยเงินอัดฉีดก้อนโตถึง 1.8 แสนล้านดอลลาร์ และหลบร้อนไปใช้แบรนด์"ชาร์ทิส" อยู่พักใหญ่
กระทั่งล่าสุด ผ่านไป 4 ปี กับแผนการผ่าตัดองค์กรครั้งใหญ่จนใช้คืนเงินกู้ก้อนมโหฬารดังกล่าวพร้อมกับดอกเบี้ยไปอีก 2 หมื่นล้านดอลลาร์ได้เรียบร้อย
วันนี้จึงคืนสังเวียนกลับมาใช้แบรนด์ "เอไอจี" อีกครั้ง ด้วยมุมมองและประสบการณ์ที่แน่นกว่าเดิม พร้อมกับทยอยประกาศรีแบรนด์ใน 90 ประเทศ

นายโรนัลด์ เอ ฮิวดอน ประธานกลุ่ม เอไอจี ประเทศไทย และผู้จัดการสำนักงานประเทศไทย บริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ อินชัวรันส์ อธิบายว่า การกลับมาใช้แบรนด์นี้ด้วยเหตุผล 2 ประการคือ สถานการณ์ปัจจุบันบริษัทได้ชำระคืนเงินกู้จากรัฐบาลสหรัฐหมดเรียบร้อยแล้ว และการสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าก็ยังคงความเชื่อมั่นในแบรนด์ "เอไอจี" อย่างเหนียวแน่น และสนับสนุนให้กลับมาใช้แบรนด์เดิม จึงทำให้ทางกรุ๊ปตัดสินใจรีแบรนด์ในครั้งนี้
สำหรับในประเทศไทยก็เช่นกันที่เปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น บริษัท เอไอจี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันบริษัทในเครือเดียวกันอย่างนิวแฮมพ์เชอร์ฯ ที่เป็นสาขาจากบริษัทแม่ในต่างประเทศนั้น ก็อยู่ในระหว่างเปลี่ยนชื่อบริษัทให้มาเป็นชื่อที่ล้อไปในภาพเดียวกันเพื่อสะท้อนความแข็งแกร่งในแบรนด์ "เอไอจี" ร่วมกัน
"แม้ที่ผ่านมาเราจะใช้แบรนด์ ชาร์ทิส แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นผลลบกับธุรกิจประกันภัยแต่อย่างใด เพราะผลงานในปี 2555 นั้นก็ยังคงเติบโตได้ดีมาก เรามีเบี้ยประกันภัยเพิ่มขึ้นถึง 22% จากปีก่อนหน้า และภายใต้แผน 5 ปีที่เราวางไว้ก็เชื่อมั่นว่าจะยังมีทิศทางที่ดี น่าจะขยายตัวได้ประมาณ 15-16% ต่อปีตลอดช่วงเวลาดังกล่าว"
นายโรนัลด์อธิบายเพิ่มเติมถึงแผนการเติบโตดังกล่าวว่า บริษัทจะอาศัยการเติบโตทั้งฝั่งรับประกันภัยลูกค้ารายใหญ่รวมถึงโครงการลงทุนต่างๆ ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งที่เงินกองทุนขนาดใหญ่ที่สามารถรับเสี่ยงภัยได้สูงสุดถึง 1.5 พันล้านดอลลาร์ต่อภัย หรือประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท จึงเป็นความได้เปรียบในการแข่งขันที่เชื่อมั่นว่าไม่มีบริษัทอื่นๆ เทียบได้ 
ขณะเดียวกันในตลาดประกันภัยรายย่อย บริษัทถือว่าเป็นผู้นำในตลาดประกันภัยการเดินทางที่มีเครือข่ายบริการได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วโลก ประกันภัยรถยนต์ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล และประกันภัยสำหรับธุรกิจเอสเอ็มอี เช่นกัน ซึ่งสัดส่วนงานรับประกันภัยในปัจจุบันถือว่าเหมาะสมแล้ว ฉะนั้น การเติบโตในช่วง 5 ปีข้างหน้าคงไม่ได้มีแผนจะปรับพอร์ตแต่อย่างใด แต่เน้นเติบโตในตลาดที่มีศักยภาพจะเติบโตมากกว่า
"แม้ปัจจุบันเราจะมี 2 บริษััทประกันภัยภายใต้แบรนด์เดียวกัน แต่ก็ไม่มีนโยบายที่จะรวมทั้งสองบริษัทนี้เข้าด้วยกัน เนื่องจากแบ่งกันทำตลาดได้อย่างครอบคลุม โดยบริษัท นิวแฮมพ์เชอร์ฯ ซึ่งมีสถานะเป็นสาขาของบริษัทแม่ในนสหรัฐจะมีขนาดเงินกองทุนใหญ่ สามารถรองรับงานประกันภัยรายใหญ่ได้ดี แต่ก็จะติดข้อจำกัดด้านการเปิดสาขาเพิ่มเติมสำหรับทำตลาดรายย่อย ก็จะให้บริษัท เอไอจีฯ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนจัดตั้งในไทยเป็นแกนหลักรุกตลาดรายย่อยได้อย่างดี ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นต้องรวมทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน ก็สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง" นายโรนัลด์กล่าว

'การ์ตูนคลับ'จับมือฟรีทีวีรุกอาเซียนเดินหน้าปั้น'รีจินัลแบรนด์'


Post by Chatsayam Momkaew

โดย รัตติยา อังกุลานนท์
ในจังหวะที่อุตสาหกรรมบรอดแคสติ้งไทยกำลังก้าวมาถึง "จุดเปลี่ยน" สำคัญกับการก้าวสู่ "โทรทัศน์ระบบดิจิทัล" ภายใต้การออกใบอนุญาตช่อง "ฟรีทีวีดิจิทัล" ใหม่ทั้งประเภทสาธารณะ, ธุรกิจและชุมชนรวม 48 ช่อง นับเป็น โอกาสที่ดีของกลุ่มคอนเทนท์ โปรวายเดอร์ ในการ ขยับฐานะจากผู้เช่าเวลามาสู่ความเป็นเจ้าของ  โดยเฉพาะคอนเทนท์รายการประเภทเด็ก, ข่าว และ วาไรตี้ ที่ กสทช.จะมีการเปิดประมูลช่องรายการ ประเภทธุรกิจรวม 24 ช่อง
หากโฟกัสเฉพาะคอนเทนท์สำหรับเด็กในกลุ่มการ์ตูน บริษัท เอฟฟ์ จำกัด ที่เริ่มก่อตั้งในปี 2528  พร้อมกว้านซื้อลิขสิทธิ์การ์ตูนดังทั้งฝั่งญี่ปุ่นและอเมริกาไว้ในมือจำนวนมาก ภายใต้การบริหารลิขสิทธิ์การ์ตูนดัง ทางช่อง "ฟรีทีวี" โดยมีลิขสิทธิ์ไฮไลต์ เช่น ดราก้อนบอล, มาร์คไรเดอร์ เดนโอ, อุลตร้าแมน เมบิอุส, เซนต์เซย์ย่า เป็นต้น เมื่อเห็นโอกาสการเติบโตในธุรกิจ "ทีวีดาวเทียม"ราวปี 2552 จึงได้เปิดตัวช่อง "การ์ตูนคลับ แชนแนล" ภายใต้การบริหารของบริษัท ในเครือ "การ์ตูนมีเดีย"
ธนัท ตันอนุชิตติกุล รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท การ์ตูนมีเดีย จำกัด  ผู้บริหารลิขสิทธิ์การ์ตูนจากญี่ปุ่นและ ผู้บริหารสถานีช่องทีวีดาวเทียม "การ์ตูน คลับ" กล่าวว่า หากราคาตั้งต้นประมูลใบอนุญาตทีวีดิจิทัลประเภทช่องเด็กไม่เกิน 100 ล้านบาท ทางการ์ตูนคลับสนใจเข้าร่วมประมูลทีวีดิจิทัล โดยอยู่ระหว่างการตัดสินใจ แต่หากไม่ประมูลก็จะไปร่วมผลิตกับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลในการนำลิขสิทธิ์การ์ตูนและลิขสิทธิ์เนื้อหาสารคดีออกอากาศด้วยเช่นกัน
"ราคาเริ่มต้นประมูลถือว่าถูกกว่าที่เราคิดไว้ ซึ่งตอนนี้ผมทราบว่า จะมีใครเข้าร่วมประมูลช่องทีวีดิจิทัลสำหรับเด็กบ้าง แต่สำหรับเราได้เตรียมเงินสำหรับการลงทุนทีวีดิจิทัลนี้ 500 ล้านบาท และตอนนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่อย่าง บมจ.อสมท. (MCOT) หรือ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น (INTUCH) ได้เข้ามาคุยกับเราที่จะเป็นพันธมิตรแล้ว ซึ่งจะทำให้การ์ตูน คลับ มีช่องทางการออกอากาศเพิ่มขึ้น
นอกจากทีวีดาวเทียม และการไปออกอากาศในต่างประเทศทั้งลาว เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งทำให้เราเป็นโกลบอลแบรนด์อีกด้วย แต่ขณะนี้ต้องการความชัดเจนค่าโครงข่าย ว่าจะมีราคาเท่าใด เพราะมีผลต่อต้นทุนการประกอบการของเรา เช่นกัน" ส่วนทิศทางการบริหารลิขสิทธิ์การ์ตูนใน ปีนี้ จะมุ่งขยายตลาดต่างประเทศ ด้วยการร่วมมือกับ "ฟรีทีวี" ในกลุ่มประเทศอาเซียนทุกประเทศ เพื่อเข้าไป "เช่าเวลา" ออกอากาศรายการการ์ตูนที่ถือลิขสิทธิ์พร้อมสร้างแบรนด์ "การ์ตูนคลับ" ให้เป็นที่รู้จักระดับ "รีจินัลแบรนด์"
โดยปัจจุบันมีรายการทางฟรีทีวีในอาเซียนแล้ว 3 ประเทศประกอบด้วย สปป.ลาว ร่วม กับสถานีโทรทัศน์ MVL5 , เวียดนาม สถานีโทรทัศน์ VTV9 และกัมพูชา สถานีโทรทัศน์ TV5  โดยทั้ง  3 ประเทศกำหนดเวลาออกอากาศให้เป็นสากล  (universal time) เหมือนกัน คือเวลา 8.00-8.30 น. ซึ่งตรงกับเวลาการออกอากาศทางฟรีทีวีในประเทศไทย  หลังจากเริ่มออกอากาศรายการการ์ตูนคลับในทั้ง 3 ประเทศพบว่าได้รับความสนใจทั้งจากสินค้าไทย, อินเตอร์เนชั่นแนล แบรนด์ และโลคัลแบรนด์ ในพื้นที่โฆษณา "เต็ม" ปัจจุบันลูกค้าที่มาลงโฆษณาเป็นสินค้าจากไทย 60% อีก 40% เป็นกลุ่มอินเตอร์แบรนด์และโลคัลแบรนด์  ในปีนี้วางเป้าหมายขยายรายการการ์ตูนคลับทาง ฟรีทีวีครอบคลุมทั้ง 10 ประเทศในอาเซียน โดยกำลัง
อยู่ระหว่างเจรจากับฟรีทีวีในพม่า ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย กำหนดเวลาการออกอากาศเป็น  universal time เช่นเดียวกันในทุกประเทศ คือระหว่าง 8.00-9.00 น.
"รูปแบบการออกอากาศรายการแบบ universal time เหมือนกันทุกประเทศในกลุ่มอาเซียน สามารถสร้างการรับรู้ในวงกว้าง และได้รับความสนใจจากสินค้าและแบรนด์ที่ต้องการทำตลาดในอาเซียน"ธนัท กล่าว  แนวทางการทำรายการทางฟรีทีวีในภูมิภาคอาเซียน เพื่อตอบโจทย์การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ซึ่งบริษัทจะต้องเข้าไปเปิดตลาดล่วงหน้าเพื่อสร้างเรทติ้งผู้ชม และพร้อมรับบรรดาสินค้าที่จะมาใช้พื้นที่โฆษณา
การเปิดเออีซี กลุ่มธุรกิจสื่อเป็นอีกกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เพราะมีรายได้โฆษณามากขึ้นจากการขยายตลาดของสินค้าและแบรนด์ในอาเซียน ขณะที่คอนเทนท์การ์ตูนมีผู้ประกอบการ "ไม่มาก" เพราะอยู่ในมือผู้ที่ซื้อลิขสิทธิ์ไว้ล่วงหน้าเพียงไม่กี่ราย อีกทั้งเป็นรายการที่ ได้รับความสนใจจากผู้ชมเพราะมีความเป็นสากล
ธนัท กล่าวอีกว่า หลังจากขยายรายการการ์ตูนคลับครบทุกประเทศในอาเซียนปีนี้ ในปี 2557 จะเริ่มเข้าดำเนินธุรกิจออกอากาศรายการทางฟรีทีวี ในอินเดียและตะวันออกกลางเพิ่มเติม ภายใต้เป้าหมายพัฒนาธุรกิจมีเดีย "การ์ตูนคลับ" ให้เป็นที่รู้จักในระดับ "โกลบอลแบรนด์"
จากแผนการรุกตลาดต่างประเทศในกลุ่มอาเซียน ปีนี้ คาดว่าจะมีรายได้รวม 600 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ในประเทศ 75% จากธุรกิจรายการทางฟรีทีวีและช่องทีวีดาวเทียม "การ์ตูนคลับ แชนแนล" และอีก 25% จากธุรกิจในต่างประเทศ ภายในปี 2558 หลังจากขยายธุรกิจสื่อไปยังอินเดียและตะวันออกกลางแล้ว คาดว่าสัดส่วนรายได้จากในประเทศและต่างประเทศจะ "เท่ากัน"
ภายใต้แผนรุกตลาดต่างประเทศดังกล่าว เพื่อหวังสร้าง "การ์ตูนคลับ" ให้เป็นธุรกิจสื่อระดับ "รีจินัลแบรนด์" และ "โกลบอลแบรนด์" รายแรกในไทย
"การออกอากาศแบบ  universal time เหมือนกัน ทุกประเทศในอาเซียน  ช่วยสร้างการรับรู้ในวงกว้าง"

ที่มา: เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ (Th) Friday, March 08, 2013 

วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2556

ทำไมผงซักฟอก ต้องใช้พรีเซ็นตอร์ผู้ชาย


กองบรรณาธิการ Positioning Magazine 14 กุมภาพันธ์ 2556  
Added on: 14/2/2556
ที่มาhttp://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=95691
เป็นสินค้าที่ “ผู้หญิง” ใช้เป็นหลัก แต่ “พรีเซ็นเตอร์” กลับเป็นพระเอกหนุ่ม แถมยังต้องเป็นพระเอกระดับฮอต แถวหน้าเสียด้วย ดูจากโฆษณาผงซักฟอกแต่ละแบรนด์ที่ใช้พรีเซ็นเตอร์เป็น “ดาราผู้ชาย” ไม่ว่า จะเป็น วิลลี่ แมคอินทอช, เคน-ธีรเดช และล่าสุด ดาราวัยรุ่นอย่าง บอย-ปกรณ์

เหตุผลที่พรีเซ็นเตอร์ผงซักฟอกส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย เพราะพบว่าอินไซท์ของกลุ่มเป้าหมาย ตามที่ สิริปราณ ไชยกุล ผู้จัดการผลิตภัณฑ์ผงซักฟอกโอโม บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า “คนที่เป็นผู้หญิง ต้องการดูโฆษณาที่มีดาราชายที่ตัวเองชื่นชอบ” และแนวโน้มผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ แยกตัวออกมาอยู่คนเดียวใจกลางเมืองเยอะขึ้น แต่ส่วนใหญ่กิจกรรมซักผ้าก็ยังเป็นของผู้หญิงอยู่ดี

“การเลือกพรีเซ็นเตอร์ มาจากทั้งเรื่องของการสำรวจอินไซท์ของกลุ่มเป้าหมาย และความเหมาะสม อย่าง โอโม จะเห็นได้ว่าเราใช้คุณวิลลี่ เป็นพรีเซ็นเตอร์มานานจนหน้าเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของแบรนด์เราไปแล้ว ซึ่งในตอนนั้นเราต้องการท้าทายให้ผู้บริโภคหันมาลองใช้แบรนด์โอโมจากสูตรมาตรฐานมาเป็นสูตรเข้มข้น ก็เลยใช้ความเป็นพิธีกรภาคสนามของคุณวิลลี่”

“จนกระทั่งมาถึงบอย-ปกรณ์ อันนี้เป็นอินไซท์ของกลุ่มเป้าหมายสาวออฟฟิศจนถึงแม่บ้านรุ่นใหม่ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายจะอายุน้อยกว่าโอโมแบบผง แล้วพบว่า บอย เป็นขวัญใจของคนกลุ่มนี้ แล้วพอเราทดลองให้เขาในดิจิตอลแคมเปญของโอโม พลัส รีเฟรชแล้วได้ผลตอบรับดี” สิริปราณ บอกถึงสาเหตุการเลือกบอย-ปกรณ์มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หลัก



นอกจากอินไซท์ที่สาวๆ ชอบดาราหนุ่มคนนี้แล้ว Big Idea ของการแนะนำสูตรน้ำออกสู่ตลาด ด้วยแนวคิด “แฟชั่นสีขาว” ก็ทำให้โอโมต้องเลือกคนที่แต่งตัวมีบุคลิกและเอกลักษณ์เฉพาะตัวแบบ บอย-ปกรณ์ โดยกิจกรรมก็จะเป็นการเดินแฟชั่น โชว์ ส่วนดิจิตอลแคมเปญ ก็เล่นเกมกับผู้บริโภคผ่านแอปพลิเคชั่นในเฟซบุ๊ก เน้นความสนุก Educate ผู้บริโภค ให้ป้ายโอโมลงบนพื้นที่เปื้อน ซึ่งเชื่อมโยงกับการใช้สินค้าโดยตรง เมื่อได้คะแนนตามที่กำหนดก็มีสิทธิ์รับผ้าพันคอของแบรนด์ Issue ขณะที่ตัวโฆษณาหลักก็จะไม่มีภาพของ บอย-ปกรณ์ จับแพ็กสินค้าเลย

“เกมที่เราเล่นนี้ก็มาจากอินไซท์สาวออฟฟิศนั่นแหละ ว่าชอบผ้าพันคอกันเยอะ แล้วแบรนด์ Issue ก็เป็นแบรนด์ที่ผู้หญิงชอบเยอะ เราก็เลยลองคุยดู ซึ่งทาง Issue เขาก็ออกแบบลายเฉพาะมาให้เรา แล้วมันก็ออกมาสวย ดูเทรนดี้ มี Signature ของโอโม แต่ไม่ฮาร์ดเซลเลย ซึ่งผลตอบรับดีมากๆ เฟสต่อไปของเราก็จะทำคลิปกับ Perypie ทำคลิปออกมา 5 คลิป สอนการใช้ผ้าพันคอ”




ขณะที่แบรนด์แอทแทคส์ซึ่งมี เคน-ธีรเดช วงศ์พัวพัน เป็นพรีเซ็นเตอร์ก็เน้นที่กิจกรรมครอบครัวเป็นหลัก โดยให้ลูกค้าแอทแทคส่งภาพครอบครัวเข้าประกวดแล้วเลือกผู้ชนะไปเที่ยวแบบ Exclusive กับเคน-ธีรเดช นั่นแสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่แค่พรีเซ็นเตอร์ที่เป็นดาราชายหนุ่มหล่อเท่านั้น แต่ต้องทำกิจกรรมที่เชื่อมโยงถึงภาพลักษณ์ของพรีเซ็นเตอร์ ที่มีกลุ่มเป้าหมายกับวัตถุประสงค์ทางการตลาดเป็นพื้นฐานสำคัญ



ผู้ชายคนนี้เคยขายผงซักฟอกมาแล้ว

- ศรราม เทพพิทักษ์ เคยเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับผงซักฟอกเปา

- ดู๋ สัญญา พรีเซ็นเตอร์ผงซักฟอกผู้ชายคนแรกๆ ของไทย โดยแบรนด์แอทแทค เครือคาโอ เลือกเพราะให้ภาพลักษณ์ด้านคุณภาพสินค้า ดูน่าเชื่อถือ

- วิลลี่ แมคอินทอช เป็นพรีเซ็นเตอร์ที่ยาวนานของโอโม ตั้งแต่ปี 2550

- เคน-ธีรเดช ด้วยลุคของความเป็นแฟมิลี่แมน และเป็นขวัญใจสาวๆ คอละคร แอทแทคจึงเลือกให้มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ตั้งแต่ปี 2554

- วู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา นี่ก็หนึ่งในพรีเซ็นเตอร์ชายสำหรับผงซักฟอกนะ ด้วยลุคของความเป็นพิธีกร ท้าให้แม่บ้านมาลองใช้บรีส สูตรน้ำ

- บอย ปกรณ์ พรีเซ็นเตอร์คนล่าสุดของโอมโม ลิควิด เพราะผลสำรวจออกมาว่าสาวออฟฟิศและเหล่าแม่บ้านกรี๊ดคนนี้

7 อุปนิสัยผู้บริโภคไทยที่นักการตลาดต้องรู้

กองบรรณาธิการ Positioning Magazine 15 กุมภาพันธ์ 2556
Added on: 15/2/2556
ที่มา http://www.positioningmag.com/magazine/details.aspx?id=95732
ในโอกาสที่ อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ ฉลองครบรอบ 22 ปี อีเวนต์เอเยนซี่อันดับ 1 ของประเทศไทย ได้จัดงานสัมมนา ICV Turn On 2013 โดยมีหัวข้อที่น่าสนใจจาก สรินพร จิวานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นไวรอเซลล์ ประเทศไทย จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโค ได้เปิดเผยให้เห็นถึงอุปนิสัยของผู้บริโภคคนไทยที่เกิดขึ้นจริงแล้วในตอนนี้และต่อเนื่องจนถึงปี 2013 เอาไว้ 7 หัวข้อ ดังนี้



1.Thirst to be in the Stream ขอเกาะกระแสไว้ก่อน

สรินพร ชี้ให้เห็นว่า ความจริงการทำตัวอยู่ในกระแสหลักของสังคมเป็นนิสัยที่ฝังอยู่ใน DNA ของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว แต่ความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในยุคนี้ ทำให้ผู้คนสามารถเกาะติดในกระแสได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของสมาร์ทโฟน ทำให้คนมีส่วนร่วมในปรากฏการณ์ของสังคมได้ง่ายขึ้น ผ่านการแสดงความคิดเห็น, ดูคลิปวิดีโอที่คนอื่นดูกันเยอะๆ



2.Believe เชื่อ “คนอื่น”

ผู้บริโภคมักเชื่อคนใกล้ตัว ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อน จากการศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย พบว่า ปัจจุบันก่อนที่ผู้บริโภคจะซื้อสินค้ามักหาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตหรือถามคนใกล้ตัวก่อน โดยแนวโน้มการเชื่อภาพยนตร์โฆษณาลดลงเหลือเพียง 47% เท่านั้น ขณะที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือการสื่อสารแบบ Word of Mouth มากถึง 97% และมีพฤติกรรมที่ระหว่างดูโทรทัศน์จะต้องท่องอินเทอร์เน็ตไปด้วยถึง 81% ส่วน 72% ออนไลน์ในโซเชี่ยลมีเดีย กับอีก 67% ช้อปปิ้งออนไลน์หรืออย่างน้อยก็ดูข้อมูลสินค้า  



3.Share ของดีต้องแบ่งปัน

คอนเทนต์ที่ผู้บริโภคนิยมแชร์ ต้องมีลักษณะ 4 อย่าง 1.ดูแล้วชอบ 2.เมื่อแชร์ให้เพื่อนๆ ในโซเชี่ยลมีเดียเห็นแล้ว ตัวผู้แชร์ดูดีขึ้น 3.คอนเทนต์ที่แชร์มีประโยชน์กับผู้แชร์เองหรือเพื่อน 4.มีประโยชน์กับสังคม



4.Instantanous ไม่เคยทนรอ

 ผู้บริโภคปัจจุบันอดทนรอคอยอะไรไม่ค่อยได้ จากการวิจัยที่สรินพรเคยทำวิจัยให้กับธนาคารบางแห่ง พบว่าอินไซท์ของผู้บริโภคที่รู้สึกเมื่อต้องต่อคิวทำธุรกรรมทางการเงินจะรู้สึกว่าตัวเองต่อคิวเป็นเวลานานกว่าความจริงเสมอ เช่น ต่อคิวแค่ 2 นาที ก็จะคิดว่าต่อคิวรอไปแล้ว 4 นาที เป็นต้น ด้วยพฤติกรรมนี้ จึงเป็นที่มาของบริการธนาคารที่ใช้ Internet Banking เข้ามาตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคแบบ 24 ชั่วโมง ไม่ต้องรอเวลาธนาคารเปิด-ปิด ไปจนถึงเทคโนโลยี Fingerprint Payment แค่รูดนิ้วผ่านเครื่องสแกนก็เท่ากับตอบตกลงการจ่ายเงินค่าสินค้า โดยบริการนี้เพิ่งเริ่มใช้ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปบางส่วน



5.Don’t make me Think คนขี้เกียจคิด




เพราะว่าทุกวันนี้มีข้อมูลหลั่งไหลเข้าหาผู้บริโภคเยอะมาก และมีกิจกรรมหลายๆ อย่างที่ต้องทำ ดังนั้นสินค้าหรือบริการต้องออกมาตอบสนองความขี้เกียจของผู้บริโภคเลย เช่น รถยนต์ที่มีระบบถอยรถให้ หรือมีบริการเก็บข้อมูลการขับให้เพื่อไปคำนวณพฤติกรรมการขับรถให้สอดคล้องกับการใช้น้ำมัน เทคโนโลยีเดียวกันนี้ยังถูกใช้ในอุปกรณ์กีฬาหลายอย่างที่เก็บข้อมูลการออกกำลังกายเพื่อเก็บเป็นสถิติการเผาผลาญพลังงาน หรือวัดรอบวงสวิง แล้วมาวิเคราะห์เพื่อช่วยให้ผู้เล่นออกกำลังกายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ในส่วนของการสื่อสาร ก็ออกมาในรูปแบบของการถ่ายทอดเรื่องราวเป็นภาพ หรือ Infographic ให้ผู้อ่านเข้าใจง่าย เก็ทเร็วขึ้น



6.Sit Down Shopping นั่งหน้าจอก็ช้อปได้

พฤติกรรมของผู้บริโภคเดี๋ยวนี้ไม่ต้องออกไปช้อปปิ้งนอกบ้านแล้ว แค่นั่งอยู่หน้าจออินเทอร์เน็ตก็ช้อปปิ้งได้ สถิติของผู้บริโภคที่นิยมซื้อของออนไลน์ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปเติบโตเพิ่มขึ้น 70% ขณะที่ประเทศที่เป็นตลาดใหม่ เช่น จีน ละตินอเมริกา การช้อปปิ้งออนไลน์ก็เติบโตขึ้น 20% เช่นกัน การวางจำหน่ายสินค้าไม่ได้จำกัดอยู่แค่พื้นที่เดิมๆ อีกต่อไป ในกรณีของเทสโก้ ประเทศเกาหลีใต้ ได้เอาสื่อโฆษณาช้อปปิ้งออนไลน์ไปวางไว้ที่สถานีรถไฟใต้ดิน ทำให้ผู้บริโภคไม่ต้องไปถึงตัวห้างแต่ก็ช้อปปิ้งสินค้าอุปโภค บริโภคได้เช่นกัน เคสนี้ถือเป็นการปรับตัวของธุรกิจรีเทลจากพฤติกรรมใหม่ๆ ของผู้บริโภค



7.Deal-Starved ดีลดีๆ ของคนงก

เว็บไซต์ดีลมีมากขึ้นในตลาดอีคอมเมิร์ซมากขึ้นทุกวัน หรือแม้แต่การเดินช้อปปิ้งก็เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าเว็บไซต์หรือสแกนบาร์โค้ดเพื่อเปรียบเทียบราคาสินค้ากับท้องตลาดได้เลย นอกจากเว็บไซต์ที่ขายดีลแล้ว พฤติกรรมนี้ยังทำให้เกิดการตลาดเรียล-ไทม์แบบที่อิงกับสถานที่ หรือที่เรียกว่า Location-Based คือผู้บริโภคเปิดหาร้านอาหารหรือสินค้าบริเวณใกล้เคียง แล้วที่ไหนมีดีลที่ดีกว่าก็เดินเข้าไปใช้บริการของที่นั่นเลย

สิ่งที่นักการตลาดต้องเรียนรู้จากพฤติกรรมนี้ก็คือ เมื่อสินค้าไม่มีความแตกต่างกันมาก ลูกค้าก็จะวิ่งไปซื้อสินค้าตามดีลที่ดีกว่า ดังนั้นถ้ามั่นใจว่าสินค้าหรือบริการมีความโดดเด่นกว่าคู่แข่งชัดเจน ต้องไฮไลต์ความแตกต่างนั้นออกมาให้ชัด แต่ขณะเดียวกัน สำหรับสินค้าที่หาความแตกต่างไม่ได้ ก็น่าจะเอา Location-Based มาเล่นเพื่อดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ หรือดึงลูกค้าเดิมด้วยโปรโมชั่นไปเลย

วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556

18 คุณสมบัติของธุรกิจที่จะเป็นแฟรนไชส์ได้



ที่มา http://boc.dip.go.th/index.php?
เช็คลิสอย่างละเอียด เพื่อประเมินความเป็นไปได้ก่อนที่คุณจะเข้าสู่ขั้นตอนในการสร้างระบบแฟรนไชส์ ขอให้คุณได้ทำทวบคุณสมบัติของการเป็นแฟรนไชส์โดยละเอียดอีกครั้ง เพื่อทดสอบให้แน่ใจอย่างที่สุดว่า ธุรกิจของคุณมีความเป็นไปได้และถ้าหากคุณขาดคุณสมบัติข้อใดไป ก็ขอให้คุณปรับปรุงแก้ไข เพื่อวางรากฐานที่แข็งแกร่ง

สำหรับแฟรนไชส์ที่สดใสของคุณในอนาคต คุณจงอย่าดื้อรั้น คิดว่าขาดข้อใดข้อหนึ่งไม่เป็นไร เพราะไม่มีใครเพอร์เฟคที่จะทำได้ทุกข้อ หรือคิดว่ากว่าจะทำให้มีคุณสมบัติครบถ้วนคงต่องใช้เวลานานเกินไป ไม่ทันเกมส์การแข่งขัน และโอกาสดีๆจะหลุดลอย ขอให้คุณลองไตร่ตรองถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากการเสียเวลาที่ต้องกลับมาแก้ไขภายหลัง รวมทั้งการสูญเสียภาพพจน์ และชื่อเสียงจากแฟรนไชส์ที่ผิดหวัง บอกต่อๆกันไปจนกระทั่งบานปลายจนเป็นข่าวหน้าหนังสือพิมพ์

คุณต้องยอมรับความจริงว่าแฟรนไชส์ในไทยขาดความยั่งยืน เพราะปราศจากรากฐานที่แข็งแกร่ง แต่ถ้าในกรณีที่คุณใจร้อน รอไม่ได้จริงๆ ก็ขอให้คุณตั้งมั่นแก้ไขในจุดที่คุณยังอ่อนอยู่ และมีระยะเวลาที่ชัดเจนว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ เช็คลิสท์ 16 ข้อ นี้จะช่วยให้คุณได้ทบทวนตัวเองอย่างรอบคอบ และเป็นหนทางที่จะนำคุณไปสู่ความสำเร็จ


1.คุณเป็นผู้ชำนาญ เชี่ยวชาญในธุรกิจนั้นยาวนานกว่า 5 ปี
จนกระทั่งมีความรอบรู้ในปัญหาจากการดำเนินธุรกิจมากพอ ที่จะให้การปรึกษาแก่แฟรนไชซี่ได้เป็นอย่างดีความช่ำชองในธุรกิจเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดที่ต้องมีแฟรนไชส์ หลายรายที่มีอายุธุรกิจเพียง 1-2 ปี ก็เปิดขายแฟรนไชส์แล้วคุณคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นไปได้ที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่? พวกเขาผ่านปัญหาในการดำเนินธุรกิจมาหลายรูปแบบแล้วหรือยัง? พวกเขาจะบอกวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องและได้ผลกับแฟรนไชซี่ได้หรือไม่?

มีแฟรนไชส์ที่มาจากต่างประเทศหลายรายที่ซื้อแฟรนไชส์มาและมั่นใจมากว่าระบบธุรกิจของผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศหลายรายที่ซื้อแฟรนไชส์มาและมั่นใจมากกว่าระบบธุรกิจของผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศที่ทำมาแล้วนานนับสิบๆ ปี จะทำให้ประสบความสำเร็จในไทย เขาจึงทำตัวเองเป็นเพียงเซ็นเตอร์ในการติดต่อโดยไม่มีร้านของตัวเองที่เปิดขึ้นในไทยเลยหรือมีก็เพียง 1แห่ง แน่นอนเขาขาดประสบการณ์รายละเอียดในการดำเนินงานและความรู้เรื่องตลาดและพฤติกรรมในประเทศไทย แต่ในทางตรงกันข้ามบริษัทยักษ์ใหญ่ แม้แต่ 7-อีเลฟเว่น หรือแฟมิลี่มาร์ทเอง กว่าที่เขาจะขายแฟรนไชส์ เขาเปิดร้านสาขาของเขาเองนำร่องไปก่อนหลายสิบแห่งทีเดียว ยิ่งคุณมีอายุในวงการธุรกิจมากเท่าไหร่ ความเป็นไปได้ที่จะก้าวสู่ความสำเร็จของคุณก็สูงขึ้นมากเท่านั้น

2.ธุรกิจของคุณเปิดดำเนินการมาแล้ว มากกว่า 4-5 แห่ง
ซึ่งถ้าคุณมีร้านที่เปิดขึ้นมาแล้ว คุณจะมีตัวเลขประมาณรายได้ ค่าใช้จ่าย และผลกำไร ที่คุณจะแสดงต่อแฟรนไชซี่ของคุณให้มั่นใจในแผนการดำเนินการบริหารร้านที่มีโอกาสประสบความสำเร็จ แต่ถ้าคุณมีร้านที่เปิดขึ้นน้อยเกินไป ข้อมูลความรู้ในการดำเนินธุรกิจของคุณก็มีน้อยเกินไปด้วย คุณคิดว่าจะดีกว่าหรือไม่ ที่ร้านของคุณมีเปิดขึ้นมาแล้วสัก 4-5 แห่ง เพื่อทำให้คุณมีความแม่นยำ ในระบบการจัดการธุรกิจ โดยมีข้อมูลที่ชี้เป็นตัวเลข ที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ไม่มีใคร จะสามารถมาโต้แย้ง ตัวเลขที่เกิดจากข้อเท็จจริงนี้ได้ แม้แต่ตัวคุณเอง ก็จะเป็นทางการเงินและการจัดการได้อย่างอัตโนมัติ ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ก่อนจะประกาศขายแฟรนไชส์ออกไปนั้น หมายถึงว่า คุณมีร้านต้นแบบที่เปิดดำเนินการอยู่แล้ว

3.ร้านของคุณที่เปิดขึ้นนั้น อยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน
แม้คุณอาจจะมีร้าน 4-5 แห่ง ที่เปิดขึ้นมาแล้วแต่ถ้ามันอยู่เฉพาะในเขตนั้นที่ใกล้เคียงกัน มันก็จะยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ความเป็นไปได้ ของรูปแบบธุรกิจคุณ สมมติว่าคุณมีร้านอาหารสไตล์ยุโรป คุณคิดว่าในเขตพื้นที่อื่น จะมีพฤติกรรมยอมรับรสชาติของอาหาร และราคาในรูปแบบเดียวกันหรือไม่?
แต่ถ้าร้านคุณเปิดในพื้นที่แตกต่างกันแล้วละก็ คุณก็จะรู้ได้ทันทีว่ามีปัญหาที่แตกต่างกันมากมาย ซึ่งจะช่วยให้คุณมีทักษะในการหามาตรการบริหาร้านที่อยู่ในกลุ่มของชุมชนที่ไม่เหมือนกันและสิ่งสำคัญที่สุด คือเรื่องการยอมรับของตลาด ขนาดของตลาด การมีร้านในเขตที่แตกต่างจะทำให้คุณมีรายงานทางการตลาดที่ดีกว่า ที่ทำให้มั่นใจได้ว่าสินค้าและบริการของคุณเป็นที่ยอมรับในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันหรือไม่

4.ร้านที่คุณเปิดขึ้นนั้น พิสูจน์แล้วว่าทำกำไรได้?
ตัวเลขบรรทัดสุดท้าย ก็คือ ตัวเลขที่แสดงผลกำไรที่เป็นจุดที่ต้องโฟกัสเป็นอันดับแรก ถ้าผลของการคำนวณร้านของคุณไม่สามารถทำกำไรได้ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะนำระบบที่ไม่ประสบความสำเร็จนี้ไปขายให้คนอื่นนั้นถ้าธุรกิจของคุณยังไม่ทำกำไร คุณอย่าฝ่าฝืนหลักการสำคัญในข้อนี้เป็นอันขาด เพราะธุรกิจของคุณไม่มีความเป็นไปได้ที่จะระบบแฟรนไชส์

5.สินค้าและบริการของคุณมีตรา หรือชื่อ เป็นที่รู้จักในตลาดแล้ว
ถ้าใช่ มีความเป็นไปได้ที่คุณจะประสบความสำเร็จในการทำระบบแฟรนไชส์ แต่ถ้าคุณยอมรับว่าสินค้าและบริการของคุณยังไม่เป็นที่รู้จักในตลาดหรือยังไม่เป็นที่รู้จักในวงการ คุณก็จะต้องแก้ไขหากลยุทธ์ แก้ความบกพร่องในเรื่องนี้ เพื่อเสริมสร้างความเป็นไปได้ในการสร้างระบบแฟรนไชส์ที่ได้ผล มันไม่ยุติธรรมเลยถ้าคุณไม่เคยลงทุนโปรโมทแบรนด์ของคุณมาก่อนหรือทำน้อยไป แต่คุณต้องเรียกเก็บค่าแฟรนไชส์ฟี จากผู้ที่ซื้อแฟรนไชส์ของคุณ

ถึงแม้ว่าคุณสามารถขายแฟรนไชส์ได้เงินมา แต่แบรนด์ไม่เป็นที่รู้จักก็ไม่สามารถจูงใจคนเข้ามาซื้อสินค้าได้ทันที ในทางตรงกันข้าม ถ้าแบรนด์ของคุณเป็นที่ยอมรับในตลาดแล้ว และถ้าร้านของคุณเปิดขึ้นมาเมื่อไหร่ในที่ใดก็ตาม คนจะรู้จักและเชื่อในคุณภาพสินค้าและบริการของคุณทันที คุณมีสิทธิแล้วที่จะได้รับเงินค่าประชาสัมพันธ์มาเป็นระยะเวลาหลายปี ด้วยเงินมหาศาล คุณอย่าลังเลในที่จะเรียกเก็บเงินจากผลประโยชน์ข้อนี้ ซึ่งแฟรนไชซี่ส่วนใหญ่ยินดีจะจ่ายเพื่อใช้มัน และนี่เป็นความเป็นไปได้เบื้องต้นที่คุณจะได้รับจากการมีชื่อเสียงที่ติดตลาดของคุณ

6.คุณมีเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำตลาด
หรือสินค้าและบริการของคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นผู้นำตลาด หรือครองตลาดในวงการอันดับต้นๆ เมื่อคุณตัดสินใจที่จะขยายธุรกิจด้วยระบบแฟรนไชส์แล้ว คุณย่อมรู้ว่ามันมีโอกาสที่จะขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว อย่างแฟรนไชส์เบเกอรี่แห่งหนึ่ง ถูกเย้ายวนให้เปิดขายแฟรนไชส์ โดยมีผู้อื่นมาขอซื้อแฟรนไชส์กันมาจนอดใจไม่ไหว เขาตัดสินใจขายแฟรนไชส์โดยที่ตัวเองนั้นไม่เคยมีความคิดมาก่อนว่า จะทำธุรกิจให้ใหญ่โต จนกระทั่งเขาขายแฟรนไชส์ได้ถึง 8 รายในเวลาอันสั้น อย่างคาดไม่ถึง แต่เมื่อดำเนินธุรกิจไปได้ไม่นานก็ต้องหยุดชะงัก และทะยอยซื้อกลับคืน เพราะร้านที่เปิดขึ้นรายได้ไม่ค่อยดีนัก เขากล่าวว่า “ผมเอง นอกจากจะไม่ความรู้เรื่องการตลาดแล้วยังไม่ให้ความสนใจกับมันอีก และนี่คือข้อผิดพลาดของผม เพราะมันผิดเป้าที่ตั้งไว้ ตั้งแต่แรก ที่ผมตั้งใจแค่ทำร้านเบเกอรี่นี้เป็นเพียงแค่งานอดิเรก”

คุณทราบไหมว่าหลักการในการแนะนำแฟรนไชซี่ในการเลือกซื้อแฟรนไชส์ที่ดีนั้นก็คือ จงเลือกซื้อ แฟรนไชส์ที่บริษัทแม่มีเป้าหมายในการเป็นผู้นำตลาด ซึ่งจะทำให้จุดมุ่งหมายของบริษัทแม่มุ่งไปสู่การทำยอดขายที่กินแชร์สูงสุดในตลาด มากกว่าการมุ่งขายสินค้าให้กับแฟรนไชซี่ ที่จะมีผลทำให้ร้านของแฟรนไชซี่ได้รับผลประโยชน์จากการตั้งเป้าข้อนี้คุณลองทบทวนดูว่า คุณตั้งใจจะเป็นผู้นำหรือไม่ และคุณกำลังจะก้าวขึ้นสู่ในการเป็นผู้นำตลาดหรือไม่ ถ้าใช่ละก็ คุณคือผู้ที่กำลังเข้าใกล้ความสำเร็จแค่เอื้อม ยิ่งถ้าคุณคือผู้ครองตลาดในวงการอยู่แล้วนั่นคือ คุณสมบัติของผู้ที่จะทำแฟรนไชส์ที่จะประสบความสำเร็จ

7.สินค้าและบริการของคุณมีตลาดกว้าง
เคยมีผู้ถามว่าธุรกิจเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อทำแฟรนไชส์ได้หรือไม่นี่คือตัวอย่างของธุรกิจที่เป็นไปไม่ได้ในการทำระบบแฟรนไชส์ เนื่องจากมีความต้องการของตลาดอย่างจำกัด ไม่เหมาะในการยายตัวด้วยวิธีแฟรนไชส์สินค้าและบริการที่คุณจะนำมาสร้างระบบแฟรนไชส์จะต้องมีตลาดใหญ่พอสมควร จึงจะเป็นไปได้ที่จะทำระบบแฟรนไชส์ แต่ถ้าคุณคิดดูแล้วว่า ธุรกิจของคุณมีกลุ่มผู้ซื้อผู้ใช้ค่อนข้างจำกัด คุณหาวิธีอื่นเพื่อขยายธุรกิจจะเหมาะสมกว่า

8.สินค้าและบริการของคุณมีจุดเด่นที่แตกต่างเหนือคู่แข่งขันหรือไม่?
ร้านข้าวแกง ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นแฟรนไชส์ได้หรือไม่? ถ้ามีจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้อื่น แต่ถ้าคุณยังธรรมดาไม่มีคอนเซ็ปท์เด่นชัดก็เป็นไปได้ที่ใครจะมาซื้อแฟรนไชส์ของคุณ ความแตกต่างอาจเป็นที่ตัวอาหาร รูปแบบการให้บริการ การบรรจุหีบห่อ สไตล์การตกแต่งร้าน หรืออะไรที่ผู้คนกล่าวขวัญถึง เช่น สมมติร้านคุณเป็นร้านข้าวมันไก่ที่ขายดีกว่า 10 ร้านที่อยู่ติดๆกัน นั่นแสดงว่าคุณต้องมีดีที่เหนือกว่าคู่แข่งขัน คุณจงค้นหามัน อะไรคือจุดที่คุณเก่งกว่า เหนือกว่าคู่แข่งขัน ที่ไม่มีใครมาทียบได้แล้วหลังทำการโปรโมทอย่างจริงจัง

9.สินค้าและบริการของคุณมีวงจรชีวิตสั้นเกินไปหรือไม่?
ตู้ถ่ายสติ๊กเกอร์ เครื่องเล่น ทามาก็อตจิ เป็นธุรกิจที่เป็นแฟชั่น ที่มีวงจรยอดฮิต เพียงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าธุรกิจของคุณมีคุณลักษณะเช่นนี้คุณจะไม่ประสบความสำเร็จในการทำระบบแฟรนไชส์ เพราะธุรกิจในระบบแฟรนไชส์เป็นธุรกิจที่ทำกันมาระยะยาวนาน สืบทอดถ่ายโอนไป สู่ลูกหลาน ดังนั้นกิจการเพียงช่วงสั้นจะไม่เหมาะสมที่จะนำมาทำระบบแฟรนไชส์

10.ธุรกิจของคุณสามารถถ่ายทอดสอนผู้อื่นได้หรือไม่ ?
ถ้าธุรกิจของคุณเรียนรู้ได้ยากเกินไป มีขบวนการที่ซับซ้อนเกินไปมีคนเก่ง เช่นคุณเท่านั้นจึงจะทำได้ ถ้าลักษณะสินค้าและบริการของคุณเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรที่จะนำมาทำระบบแฟรนไชส์ เพราะคุณต้องใช้เวลานานในการสอนกัน และยังต้องการความสามารถเฉพาะบุคคลอีก อย่างนี้ก็ยากในการสร้างระบบแฟรนไชส์ เพราะธุรกิจแฟรนไชส์นั้นจะต้องถ่ายทอดสู่ผู้อื่นได้ โดยใช้เวลาการอบรมไม่นานนัก และมันยากถ้าคุณต้องประกาศหาบุคคลที่มีความสามารถเฉพาะที่มีอย่างจำกัด ความเป็นไปได้ในธุรกิจคุณก็น้อยลงไปด้วย

11.ธุรกิจของคุณต้องใช้พรสวรรค์ใช่หรือไม่?
งานศิลปะที่ต้องอาศัยพรสวรรค์เฉพาะบุคคลเป็นลักษณะธุรกิจที่ไม่เหมาะที่จะทำแฟรนไชส์ เช่น การวาดรูป

ถ้าคุณพิจารณาดูแล้วว่า ธุรกิจของคุณจำเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์พิเศษเฉพาะบุคคล คุณก็ตัดสินใจได้ว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะทำแฟรนไชส์ หรือในบางกรณี กลุ่มของธุรกิจประเภทนี้อาจจะต้องใช้คนกลุ่มอาชีพเดียวกัน อย่างแฟรนไชส์การออกแบบและตกแต่ง ก็จะกำหนดคุณสมบัติของคนที่จบสถาปนิก หรืออาชีพแพทย์เฉพาะทาง ก็จะกำหนดคุณสมบัติของคนที่จบสถาปนิก หรืออาชีพคลินิกแพทย์เฉพาะทางก็จะกำหนดคุณสมบัติของอาชีพแพทย์ วิธีนี้ก็จะเป็นทางออกที่เป็นไปได้
แต่ปัญหามีอยู่ว่า คุณจะควบคุมมาตรฐานของงานศิลป์ให้เป็นรูปแบบเดียวกันได้อย่างไร

12.ธุรกิจของคุณนั้นลอกเลียนแบบได้ยาก
มีแฟรนไชส์ขายอาหารเช้า ที่เปิดตัวขึ้นมาอย่างฮือฮา แต่ก็ต้องทยอยปิดตัวกันไป เพราะตัวสินค้าขาดคุณสมบัติข้อนี้ คือเป็นธุรกิจที่ลอกเลียนแบบได้ง่ายเกินไป การขายอาหารเช้ามีลักษณะที่สามารถลอกเลียนแบบได้ง่ายทำให้ผู้ลงทุนไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อแฟรนไชส์สามารถฝึกและทดลองด้วยตัวเอง หรือใช้ผู้รู้แนะนำ หรือเรียนระยะสั้นๆ มาก็ทำได้แล้ว

13.สินค้าและบริการของคุณมีการซื้อซ้ำหรือไม่?
มีธุรกิจหนึ่งเป็นอาหารเสริมนำมาทำระบบแฟรนไชส์ ซึ่งช่วงแรกที่แฟรนไชซี่ซื้อไปทำได้ดีมาก เพราะเป็นธุรกิจที่ลงทุนต่ำ ขายเพียง 4-5 ชุดก็คืนทุนได้แล้วในเวลาเพียง 2-3 อาทิตย์เท่านั้น ที่ขายหลังจากนั้นก็คือกำไร ดูเสมือนว่าธุรกิจนี้น่าสนในมีจุดดึงดูด ที่ไม่ต้องลงทุนมาก ไม่มีความเสี่ยงเลย แต่ปรากฎว่าเมื่อทำไปเรื่อยๆ นานๆ จึงจะมีรายได้เข้ามาที เพราะสินค้าที่นำมาขายเป็นของที่ลูกค้ารู้สึกว่าไม่ใช่ของจำเป็น ไม่ค่อยมีการมาซื้อซ้ำอีก สุดท้ายแฟรนไชซี่ก็ขาดรายได้หรือมีรายได้ไม่สม่ำเสมอ ไม่เพียงพอต่อชีวิตประจำวันจนต้องหันไปทำอาชีพอื่น

14.ธุรกิจของคุณมีการแข่งขันสูงเกินไปหรือไม่
มีธุรกิจรายใหญ่ของไทย 2-3 ราย ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนสมบูรณ์พร้อม มีทั้งชื่อ มีสาขาที่เปิดมาแล้ว มีประสบการณ์ช่ำชองในธุรกิจเป็นผู้นำตลาด แต่ท้ายที่สุดต้องเปลี่ยนกลับไปใช้ระบบดีลเลอร์อย่างเก่า เพราะมาตายด้วยการเป็นธุรกิจที่อยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือด เพราะสินค้าเหล่านั้นในท้องตลาดก็มีขายเช่นเดียวกัน เกิดการลดราคาสะบั้นหั่นแหลก
ในที่สุดร้านแฟรนไชส์ก็ไม่มีจุดที่ได้เปรียบ แต่กลับไปเสียเปรียบเพราะระเบียบข้อกำหนดต่างๆในระบบแฟรนไชส์ คุณจะเห็นว่าแม้คุณสมบัติที่ครบถ้วนเกือบจะเพอร์เฟค 100% แต่ปัญหาการแข่งขันสูงก็ทำให้ระบบแฟรนไชส์ไปไม่รอดอย่างไม่น่าเชื่อ

15.ธุรกิจคุณไม่ลงทุนสูงเกินไป (ไม่เกิน 3 ล้าน)
การลงทุนในธุรกิจของคุณ ไม่ควรสูงเกินไป อย่างกรณีของฟาสท์ฟู้ดในไทย นั้น ปิดตัวลงไปมาก เพราะสาเหตุที่ลงทุนสูงเกินไป จะต้องสร้างยอดขายต่อเดือนมาเท่าไหร่จึงจะคืนทุนได้ การลงทุนที่สูงเกินไปก็จะทำให้หาแฟรนไชซี่ยาก มีความเสี่ยงและทำให้โอกาสในการขยายตัวได้ยากขึ้นไปด้วย สำหรับตัวเลขการลงทุนที่ระบุว่าไม่เกิน 3 ล้านนั้น ได้มาจากการลงทุนของแฟรนไชส์ส่วนใหญ่ในบ้านเราจะอยู่ในระดับนี้

16.ผลกำไรไม่ต่ำเกินไป (มากกว่า สองหมื่นบาทต่อเดือน)
คุณจะสังเกตุเห็นว่าแฟรนไชส์ที่ลงทุนต่ำคือคีออสรถเข็นต่างๆ จะบูมกันอยู่พักหนึ่ง แล้วก็ถดถอยเหมือนๆ กันหมด จนกระทั่งบางรายปิดตัวหายจากท้องตลาดไปเลย ทั้งที่บางรายบริษัทแม่เป็นยักษ์ใหญ่การที่แฟรนไชส์ลงทุนต่ำ ที่มีคนตกงานเข้ามาซื้อแฟรนไชส์ไปทำกันเยอะแยะมากมาย ดูแล้วเหมือนบูมสุดๆ แต่แฟรนไชส์ลงทุนต่ำเหล่านั้นย่อทำกำไรต่ำไปด้วยเช่นกัน ผู้ที่ลงทุนซื้อแฟรนไชส์รถเข็นเปิดอยู่ข้างถนน เมื่อทำไประยะหนึ่งก็รู้สึกว่าขาดความก้าวหน้า และไม่เห็นทางที่จะทำให้รวยขึ้นได้เพราะเงินที่ได้รับไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายประจำเดือน

17.คุณเป็นเจ้าของสิทธิที่ถูกต้องหรือไม่
เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออีกเรื่องหนึ่งที่ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่ทำแฟรนไชส์ มานาน มีระบบการทำตลาดที่แข็งแกร่ง ยังต้องปรับปรุงรูปแบบร้านแฟรนไชส์เข้าสู่วิธีการเดิมก็คือ ดีลเลอร์ เพราะมีข้อผิดพลาดที่ไม่ใช่เจ้าของสิทธิ์ในยี่ห้อสินค้าที่ขาย เช่น สินค้าไอที และคอมพิวเตอร์ที่ขายบริษัทไม่ได้เป็นเจ้าของสินค้าเอง ช่วงแรกๆ ที่ทำนั้น บริษัทแม่ได้สิทธิในการขายสินค้ายี่ห้อดังเพียงรายเดียว
แต่ต่อมาภายหลัง ทุกคนสามารถขายยี่ห้อเดียวกัน ได้อย่างไม่จำกัด ซึ่งร้านแผงลอย ร้านทั่วไปกลับมีสินค้าให้ลูกค้า เลือกได้อย่างหลากหลายมากมายหลายยี่ห้อ และยังมีการต่อรองราคาได้อย่างสนุกสนาน ทำให้ร้านที่อยู่ในระบบแฟรนไชส์ต้องการที่จะมีอิสระในการทำเช่นนั้นบ้าง เพื่อความอยู่รอดต่อการแข่งขันที่ร้อนแรง ในที่สุดร้านแฟรนไชส์ดังของบริษัทยักษ์ใหญ่ต้องกลับมาใช้ระบบดีลเลอร์อย่างเก่า

18.คุณเป็นผู้บริหารที่มีความสามารถหรือไม่
ถ้าคุณขายแฟรนไชส์ออกไปนั้น คุณจะต้องมีทักษะในการบริหารงานในระบบใหญ่ และมันจะยากยิ่งขึ้น เมื่อคุณต้องบริหารแฟรนไชซี่ที่ไม่ใช่ลูกจ้างของคุณ ที่มีลักษณะที่หลากหลายรูปแบบ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณจะต้องเป็นผู้บริหารที่มีความแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตามหากคุณทราบว่าคุณอ่อนในเรื่องใด ขอแนะนำให้คุณหาที่ปรึกษาหรือจ้างคนที่เก่งในเรื่องนั้นๆ มาช่วยเสริมสร้างให้มีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้นหรือมีทีมงานบริษัทที่เข้มแข็งยิ่งขึ้น

อีกกรณีหนึ่ง ลักษณะนิสัยส่วนตัว คุณรู้ไหมว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมานั้น มีแฟรนไชส์หลายรายที่กำลังจะไปได้ดี แฟรนไชซี่สามารถดำเนินธุรกิจมีกำไรน่าพอใจ แต่ผู้บริหารมีนิสัยการใช้เงินที่ฟุ่มเฟือย จนกระทั่งหมดเงินจ่ายให้กับซัพพลายเออร์ในที่สุด ร้านของแฟรนไชซี่ก็ไม่ได้สินค้าเข้ามาขายในร้าน ทำให้แฟรนไชส์เหล่านั้นล้มเหลวลงไปอย่างน่าเสียดายมาก
อ้างอิงจาก โอกาสธุรกิจ&แฟรนไชส์ (www.thaifranchisecenter.com)
<<กลับไปยังหน้าหลัก