วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

`กลยุทธ์ใหม่´ ที่ช่วยดันกำไรของ Starbucks เพิ่มขึ้น 25%

Lightbulb `กลยุทธ์ใหม่´ ที่ช่วยดันกำไรของ Starbucks เพิ่มขึ้น 25%
ชื่อ:  1236778_432553733511618_1229442793_n.jpg
ครั้ง: 1625
ขนาด:  55.9 กิโลไบต์
http://www.stock2morrow.com
ช่วงที่ผ่านมา...มีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทต่าง ๆ

ในสหรัฐอเมริกา และบริษัทหนึ่งที่ผลกำไรออกมาสูงกว่าที่คาดไว้คือ Starbucks

ที่กำไรในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25% อันเนื่องมาจากยอดขายจากร้านค้าต่าง ๆ

ที่เพิ่มขึ้น (Same-Store Sales) ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

(ยอดขายจากร้านค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ทั่วโลก)

สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไรของ Starbucks นั้น เกิดขึ้นมาจาก

`การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์´ ของบริษัท

...จากความเป็นร้านกาแฟหรือร้านที่สร้างประสบการณ์เกี่ยวกับกาแฟ ตอนนี้ Starbucks

จะหันมาเน้นที่อาหารและดิจิทัลมากขึ้น

Howard Schultz - CEO ของ Starbucks ออกมาให้สัมภาษณ์ไว้อย่างชัดเจนว่า...

Starbucks จะเพิ่มเมนูอาหารมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันลูกค้าของ

Starbucks (โดยเฉพาะชาวอเมริกัน) ก็จะสนุกสนานกับศักยภาพใหม่ ๆ ทางด้าน Digital ของ

Starbucks เพิ่มมากขึ้


::::::::::::::::::


กลยุทธ์และการเคลื่อนไหวของ Starbucks คราวนี้น่าสนใจ

เนื่องจากถ้านับเฉพาะด้านเครื่องดื่มโดยเฉพาะกาแฟนั้น ถือว่า Starbucks อยู่ตัวแล้ว

มีฐานลูกค้าที่มีความจงรักภักดีแล้ว

คราวนี้ Starbucks ก็จะหันมาเพิ่มรายได้จากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟมากขึ้น



• 1. อาหาร


มาที่ตัวอาหารกันก่อน Starbucks เชื่อว่าถ้าลูกค้าของตนยอมที่จะจ่ายเงิน

และซื้อกาแฟแพงกว่าที่อื่นแล้ว (แสดงว่าเป็นลูกค้าที่มีกำลังจ่าย)

ลูกค้าเหล่านั้นก็ย่อมที่พร้อมจะจ่ายเงินซื้ออาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารว่างหรือ

อาหารเที่ยงด้วยเช่นกัน ถ้า Starbucks เตรียมไว้ให้


ในไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 22 ของการเติบโตของยอดขายจากร้านค้าเดิมของ

Starbucks นั้นมาจาก...อาหาร

แสดงให้เห็นว่าตัว Growth Engine หรือแหล่งการเติบโตของรายได้ที่สำคัญของ

Starbucks ทั้งในปัจจุบันและอนาคตจะเป็นอาหารไปแล้ว

จากความพยายามในการเพิ่มยอดขายจากอาหารนั้น Starbucks

กำลังจะเปลี่ยนตนเองจากความเป็น Coffee Shop สู่ความเป็น Cafe มากขึ้น

ล่าสุดมีข่าวว่า Starbucks ได้จับมือร่วมกับ Danone SA

ผู้ผลิตนมและผลิตภัณฑ์จากนมยักษ์ใหญ่ของโลก พัฒนา Yogurt

ภายใต้แบรนด์ร่วมระหว่างทั้งสององค์กร ในชื่อว่า "Evolution Fresh,

Inspired by Dannon"

และจะออกวางขายในร้าน Starbucks ภายในปีหน้า

และจะตามมาด้วยการวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตต่อไป

นอกจากนี้การเติบโตเข้าสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ของ Starbucks

ยังชัดเจนด้วยการที่ Starbucks เข้าไปซื้อธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเบเกอรี่

หรือ บริษัทที่ขายใบชา หรือ บริษัทที่ทำ Energy Drink ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

::::::::::::::::::


• 2. โซดา


นอกเหนือความพยายามในการดึงลูกค้าเข้าร้านตนเองตอนเช้า

(ด้วยกาแฟและอาหารเช้า) และตอนเที่ยง (ด้วยอาหารเที่ยง) แล้ว

Starbucks ยังพยายามที่จะหาทางดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านตนเองในช่วงบ่าย

ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือเครื่องดื่มประเภทโซดา

ตอนนี้ Starbucks กำลังทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ของตนเองอยู่

โดยเน้นการดึงดูดลูกค้าที่ต้องผจญกับอากาศร้อนให้เข้ามาดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ

ในร้านตนเองด้วย Soda-Fountain

โดยเริ่มจากสามรสชาติคือ Lemon ale, Spiced root beer, Ginger ale

เรียกได้ว่า...ในช่วงที่กาแฟขายไม่ดีอย่างช่วงบ่ายก็พยายามหาสินค้าอื่นมานำเสนอลูกค้า

::::::::::::::::::


• 3. Digital Experience


กลยุทธ์ที่น่าสนใจอีกประการของ Starbucks คือการพยายามที่จะดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาที่

Starbucks มากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลเป็นตัวล่อ

ตอนนี้ Starbucks มีตำแหน่ง Chief Digital Officer เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในอเมริการ้อยละ 10 ของการชำระเงินในร้านค้าเกิดขึ้นผ่านโทรศัพท์มือถือแล้ว

ขณะเดียวกันมีผู้ติดตาม Twitter ของ Starbucks เกิน 4.3 ล้านคนแล้ว

ส่วนใน facebook ก็มีแฟนเพจ มากกว่า 35 ล้านคน



และล่าสุดเห็นกำลังติดตั้งที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือไว้ให้ลูกค้า

โดยเป็นที่ชาร์จที่เป็นลักษณะของ Charging Mats

ที่เพียงแค่วางมือถือไว้ก็จะชาร์จแบตให้ทันที

เรียกได้ว่า Starbucks นอกจากจะสามารถสร้างประสบการณ์ด้านกาแฟแล้ว

ยังหันมาจับเจ้า Digital Experience ของกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่อีกด้วย


นี่คือ...กลยุทธ์การเติบโตที่ Starbucks มุ่งเน้น เรียกได้ว่าทั้งชัดเจนและ

เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

::::::::::::::::::


Credit : ดร.พสุ เดชะรินทร์ - คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์

"มองมุมใหม่" กรุงเทพธุรกิจ

KTC ปลื้มกลยุทธ์ทวงหนี้เร็ว


วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 10:22 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ การเงิน FINANCIAL - คอลัมน์ : การเงิน-ตลาดทุน พิมพ์
http://www.walkwaywhy.com/
http://www.thanonline.com
 เคทีซี ฟุ้งผลงาน 8 เดือนลูกค้ายังจ่ายเงินปกติ-เอ็นพีแอลบัตรเครดิตสูงกว่าระบบอยู่ที่ 3.3% อ้างยกเลิกเอาต์ซอร์ซ-2 ปีก่อนลูกค้าเจอน้ำท่วม ชูกลยุทธ์ติดตามหนี้เร็ว ออกมาตรการช่วยเหลือลดปัญหาหนี้ค้างชำระ ส่วนหนี้ไหลย้อนกลับแค่ 1%  "พรเลิศ" ชี้ปีหน้ากลุ่มผู้สูงอายุเสี่ยงผิดนำชำระสูง

    นายพรเลิศ เบญจกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายติดตามหนี้ บริษัท บัตรกรุงไทยฯ (KTC) เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สัญญาณการชำระหนี้ของลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) ยังคงเป็นปกติ แม้ว่าหลายฝ่ายกังวลในเรื่องของหนี้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายภาครัฐ โดยตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงอัตราการขยายตัวของสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 มีการขยายตัวที่ระดับ 1.1% ถือว่าไม่ได้สูงมากจนเกินไป ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) บัตรเครดิตทั้งระบบอยู่ที่ 2.3% สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 3%

    ทั้งนี้ ในส่วนของเคทีซี แม้ว่าแนวโน้มเอ็นพีแอลในช่วงต้นปีที่ผ่านมาไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล แต่จะเห็นว่าระดับเอ็นพีแอลบัตรเครดิตที่ปัจจุบัน 3.3% ซึ่งสูงกว่าทั้งระบบ เนื่องจากภายหลังการดำเนินนโยบายลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยการยกเลิกการจ้างบริษัทภายนอก (เอาต์ซอร์ซ) และหันมาดำเนินธุรกิจเองบางส่วน ประกอบกับในช่วงก่อนหน้านี้ลูกค้าประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้เอ็นพีแอลปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เชื่อว่าหลังจากระบบเข้าที่แล้ว แนวโน้มเอ็นพีแอลจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

    "ปัจจุบันแม้ทุกคนจะให้ความเป็นห่วงเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาสัญญาณการชำระหนี้ของเคทีซียังเป็นปกติ โดยที่ตัวเลขการค้างชำระเกิน 30 วัน ก็อยู่ใกล้เคียงกับตลาด ไม่ได้สูงกว่า แต่ที่เห็นตัวเลขเอ็นพีแอลของเราสูงกว่าระบบนั้น เป็นผลมาจากลูกค้าประสบปัญหาน้ำท่วม และเรายังมีการปรับโครงสร้างการทำธุรกิจ ยกเลิกการใช้เอาต์ซอร์ซมาเป็นอินเฮาส์ ทำให้ระบบยังไม่ค่อยเข้าที่ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้แนวโน้มจะดีขึ้น" นายพรเลิศ กล่าวและว่า

    สำหรับกลยุทธ์สำคัญของฝ่ายติดตามหนี้ เพื่อป้องกันการค้างชำระหนี้ของลูกค้า จนส่งผลให้เกิดเป็นเอ็นพีแอลตามมา จะเป็นเรื่องของความรวดเร็วในการติดตามหนี้ หากลูกค้าเข้าข่ายค้างชำระตั้งแต่วันแรก บริษัทจะสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ ทั้งการส่งข้อความ จดหมาย หรือการโทรศัพท์เตือน กระบวนการเหล่านี้ ทำให้บริษัททำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าชำระหนี้ก่อนคู่แข่ง โดยที่ผ่านมาสัดส่วนลูกค้าที่ค้างชำระ และสามารถกลับมาชำระใหม่ได้เติบโตถึง 40% ขณะที่สัดส่วนลูกค้าที่ค้างชำระและไหลกลับมาเป็นหนี้ใหม่มีสัดส่วนที่น้อยมาก หรือไม่มีเลย

    นอกจากกระบวนการติดตามที่รวดเร็วแล้ว บริษัทยังมีการประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกระทบการชำระของลูกค้าได้ เช่น น้ำท่วม หรือกรณีประท้วงเรื่องยางพาราที่มีการปิดถนน เป็นต้น ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้การสื่อสารของบริษัทกับลูกค้าขาดหายไปได้ เนื่องจากไม่สามารถส่งจดหมายถึงลูกค้า บริษัทจะส่งเป็น SMS แต่หากลูกค้าไม่สะดวกในการชำระหนี้ บริษัทจะนำปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้มาพิจารณาในการวิเคราะห์และออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของภาครัฐ

    ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น การลดอัตราค่าชำระค่างวดขั้นต่ำจาก 10% เหลือ 1% หรือการตัดหนี้สูญ (แฮร์คัต) รวมถึงยกเว้นค่าธรรมเนียมในการติดตามหนี้ โดยปกติลูกค้าจะต้องเสีย 250 บาทต่อรายการต่อบัญชี อย่างไรก็ดี ภายในปีนี้บริษัทจะมีการลดอัตราค่าธรรมเนียมการติดตามหนี้ลงประมาณ 10% ซึ่งเป็นไปตามนโยบายสมาคมธนาคารไทย และจากสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน เคทีซีพร้อมช่วยเหลือลูกค้าเต็มที่ โดยจะดำเนินตามมาตรการเช่นเดียวที่เคยทำมา รวมถึงจะมีการพิจารณาช่วยเหลือเป็นรายบุคคลต่อไป

    ต่อข้อถามถึงแนวโน้มเอ็นพีแอลนั้นนายพรเลิศกล่าวว่า  ปีหน้ามองว่า กลุ่มที่จะมีความเสี่ยงและมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระค่อนข้างสูง จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 40-50 ปี มีแนวโน้มมีภาระหนี้มากขึ้น แต่มีรายได้เท่าเดิม ทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระลดลงน้อย ซึ่งปัจจุบันลูกค้ากลุ่มนี้บริษัทมีฐานไม่สูง ซึ่งส่วนใหญ่ฐานลูกค้าเคทีซีจะอยู่ในกลุ่มที่มีรายได้ประจำ หรือกลุ่มเพิ่งเริ่มต้นทำงาน

    "การติดตามหนี้ที่เร็ว จะทำให้การชำระหนี้เร็วกว่าคนอื่นด้วย ส่วนลูกค้าที่มีปัญหาทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน เราก็มีมาตรการช่วยเหลือคอยรองรับอยู่แล้ว และจะเห็นว่าหลังมาตรการช่วยเหลือสัดส่วนลูกหนี้ที่ไหลกลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีกครั้งมีไม่ถึง 1% แสดงว่ากลยุทธ์ที่มีกับแผนงานที่เราทำ จะสามารถควบคุมดูแลหนี้เอ็นพีแอลไม่ให้เพิ่มขึ้นได้"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,884 วันที่  3-5 ตุลาคม  พ.ศ. 2556

คาด Facebook ครองส่วนแบ่งตลาด “Mobile Ad”เพิ่ม 3 เท่าตัวปีนี้


facebookview
ที่มาhttp://thumbsup.in.th
วันที่: 30 August 2013
หมวดหมู่: Business, Digital Advertising
ป้ายคำ: 2013, ad, emarketer, facebook, global, mobile, share

facebookview
จากที่ไม่มีส่วนแบ่งตลาดโฆษณาบนอุปกรณ์พกพาหรือ Mobile Ad เลยในปี 2011 ต่อมาปี 2012 ถีบตัวเองขึ้นมาเป็น 5.3% และสำหรับปีนี้ บริษัทวิจัยตลาด Mobile Ad เชื่อว่า Facebook จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวเป็น 15.8% เป็นตัวเลขที่น่าจับตามองครับ


ข้อมูลตลาด Mobile Ad ปี 2013 นี้เป็นของ eMarketer บริษัทวิเคราะห์การตลาดออนไลน์ที่ประเมินรายได้ในวงการ Mobile Ad ทั่วโลกสำหรับปีนี้ไว้ว่า ตลาด Mobile Ad จะยังโตต่อเนื่องขึ้นไปอีกถึง 89% โดย eMarketer ประเมินว่ารายได้รวมของตลาด Mobile Ad ทั่วโลก น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 16,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.34 แสนล้านบาท

ผู้ที่ถูกคาดว่าจะครองส่วนแบ่งใหญ่ในตลาด Mobile Ad ปี 2013 คือเจ้าตลาดที่คร่ำหวอดในวงการนี้มานานอย่าง Google ปีนี้ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นถูกมองว่าจะสามารถดึงส่วนแบ่งได้เพิ่มขึ้น จากที่ทำได้ 52.36% ในปี 2012 มาอยู่ที่ 53.17% หรือคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 8,600 ล้านเหรียญ โดยมีเว็บไซต์ google.com และ YouTube เป็นแหล่งทำเงินสำคัญ

สำหรับส่วนแบ่งของ Facebook ที่ทำไว้ 5.35% ในปีที่แล้ว คาดว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 15.8% หรือคิดเป็น 2,600 ล้านเหรียญในปีนี้ ซึ่งถือเป็นปีที่ 2 ที่ Facebook ได้กระโดดมาร่วมวง Mobile Ad
162589
162589

สำหรับอันดับ 3 ในวงการ Mobile Ad ปี 2013 คือ Pandora บริการเพลงออนไลน์ที่ครองส่วนแบ่งตลาด Mobile Ad โลกมากกว่า 2.37% ลดลงจากปี 2012 ที่ครองมาร์เก็ตแชร์ 2.71% อันดับที่ 4 คือ YP หรือ Yellow Pages ซึ่งเป็นเครือข่ายสื่อและโฆษณาในรูปแบบโลคอลเสิร์ชยักษ์ใหญ่ของชาวอเมริกัน โดย YP เคยมีส่วนแบ่งตลาด Mobile Ad 2.86% เมื่อปีที่แล้ว คาดว่าจะลดลงเหลือ 2.27% ในปีนี้

อันดับที่ 5 ของตารางคือ Twitter จากที่เคยทำได้ 1.57% ในปีที่แล้ว คาดว่าปีนี้ รายได้มากกว่า 1.85% ของตลาด Mobile Ad จะไปอยู่ที่ Twitter ถือเป็นสัดส่วนตลาดที่ไม่น้อยเมื่อมองว่า Twitter เพิ่งเริ่มเล่นในตลาด Mobile Ad เมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา

Facebook ยังคงเป็นบริษัทที่ทำอะไรก็ดูดีตลาด ยังคงอยู่ในขาขึ้นได้อีกนาน สำหรับบ้านเรานักการตลาดต่างก็ลงโฆษณากับ Facebook ไม่หยุดหย่อน เพราะตัวเลขผู้ใช้ยั่วยวนใจเหลือเกินที่ราวๆ 22 ล้านคน

ที่มา: Adweek

ธุรกิจค้าปลีกทำยอดโฆษณาบนมือถือพุ่งสูงสุด…




วันที่: 25 September 2013
หมวดหมู่: Digital Advertising
ป้ายคำ: advertising, Millennial Media, mobile


ที่มา http://thumbsup.in.th/
ทุกวันนี้การทำโฆษณาผ่านช่องทางของแอพพลิเคชันบนมือถือ อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เราเห็นกันได้อย่างคุ้นชิน และเรารู้จักมันมากขึ้น ถ้าหากเพื่อนๆ ยังจำกันได้ ทีมงาน thumbsupTH เคยได้มีโอกาสและเชิญแขกจากต่างประเทศ ที่เป็นบริษัทด้าน Mobile Advertising and Data Platform มาร่วมพูดคุย และทำความเข้าใจให้เห็นถึงมุมที่นักพัฒนาจะได้รับจากการโฆษณารูุปแบบนี้ วันนี้เรามีตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับโฆษณาบนมือถือมาฝาก เชิญติดตามได้ครับ…

สิ่งที่ผมนำมาฝากนั้น อาจจะสามารถช่วยให้ผู้จะทำโฆษณา หรืออยากทราบว่าจะเลือกโฆษณาจากธุรกิจประเภทใดมาลงกับแอพพลิเคชันดี เพื่อนๆ thumbsup’er คงน่าจะทราบคำตอบจากชื่อของบทความแล้วใช่ไหมครับ เพราะธุรกิจประเภท “ค้าปลีก” เป็นธุรกิจที่มีการจ่ายเงินเพื่อการประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการมากที่สุดนั่นเอง

โดยตัวเลขนี้ เราได้รับมาจากทาง Millennial Media (MM) ถึงข้อมูลที่ว่า ธุรกิจค้าปลีกคือกลุ่มที่มีการใช้จ่ายเพื่อการประชาสัมพันธ์ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ กับทาง MM มากเป็นอันดับที่หนึ่ง และเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว การใช้จ่ายในการโฆษณานั้น มีสูงขึ้นมากที่สุดคือร้อยละ 413 หรือพูดง่ายๆ คือพวกเขาจ่ายมากกว่าเดิมเป็น 4 เท่าตัวนั่นเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ช่วงต้นปีที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกยังอยู่ในอันดับที่ 4 เท่านั้นเอง

สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลตามมาจากอันดับที่เราเห็นนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ธุรกิจค้าปลึกนั้น มีการเน้นหนักในการโฆษณาในช่วงเทศกาลวันหยุด ซึ่งมีมากมายในไตรมาสสุดท้ายของปี (มีวันหยุดและเทศกาลมากมายในต่างประเทศช่วงปลายปี) ดังนั้นก็คงไม่แปลกถ้าเราจะเห็นอันดับเป็นแบบนี้
top-10-brand-spend
top-10-brand-spend

สำหรับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นเป็นภาคธุรกิจที่มีการลงโฆษณามากที่สุดเป็นอันดับที่สอง และเติบโตขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 111 ซึ่งอาจจะไม่มากเท่ากับธุรกิจค้าปลีก ผลิตภัณฑ์อาหารหลายๆ เจ้า พยายามสร้างภาพจำด้วยวิดีโอ เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่ซื้อของในร้านขายของชำ และซุปเปอร์มาร์เก็ตได้รับรู้

ในขณะที่บริการจากรัฐฯ มาติดใน 10 อันดับแรกของภาคธุรกิจเป็นหนแรก ซึ่งอาจจะดูแปลกตาไปบ้าง โดยพวกเขาจ่ายเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 191 เพื่อที่จะส่งมอบข้อความที่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์เฉพาะทาง เช่นข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ ความปลอดภัยและการให้บริการอื่นๆ ในประเทศ
vertical-spend
vertical-spend

สุดท้ายคือ “องค์กรการกุศล” หรือ “หน่วยงานที่ไม่หวังสร้างกำไร” ที่ใช้จ่ายเงินเพิ่มไม่น้อยจากปีก่อน โดยบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนสุขภาพ ได้ประชาสัมพันธ์แคมเปญเพื่อสร้างภาพจำให้กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกลุ่มและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

ที่มา: Millennial Media

“ซุป' ตาร์ มาร์เก็ตติ้ง" กลยุทธ์จับศิลปิน-ดาราต่อยอดธุรกิจ

ดวงกมล 
ช่องทางสร้างอาชีพ
วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“ซุป' ตาร์ มาร์เก็ตติ้ง" เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าจ่ายแพงแต่ก็ยอมควักจ่ายทั้งนี้ก็เพื่อเป็นทางลัดในการสร้างแบรนด์ช่วยเรียกเรตติ้ง รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย
       ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่หลายธุรกิจเลือกใช้สำหรับ“ซุป' ตาร์ มาร์เก็ตติ้ง" เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าจ่ายแพงแต่ก็ยอมควักจ่ายทั้งนี้ก็เพื่อเป็นทางลัดในการสร้างแบรนด์ช่วยเรียกเรตติ้ง รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย
      แต่อย่างก็ไรตามในยุคที่การตลาดฟาดฟันกันสูง การใช้คนของประชาชนมาสร้างปรากฏการณ์ "ทอล์กออฟเดอะทาวน์" ดูเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว 
คิทเช่นสตูดิโอ ใช้พ่อครัวหน้าหยก
      
     ที่มา http://www.sentangsedtee.com
 ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างที่ไต่เต้าจากสเปเชียลตี้สโตร์ล่าสุดประกาศตัวเป็น “วัน สต๊อป ช็อปปิ้ง” มาที่เดียวได้ครบเรื่องบ้านอย่าง “บุญถาวร” ก็โหนกระแสการใช้ดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ล่าสุดจัดหนักทุ่ม 5 ล้านดึง ชาคริต แย้มนาม มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์สินค้ากลุ่มเครื่องครัว
      คุณชนัส ชูชาติ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด กล่าวว่า  1-2 ปีนี้ บุญถาวรบุกตลาดด้วยการสร้างซับแบรนด์ใหม่“คิทเช่นสตูดิโอ”ด้วยงบ70ล้านบาท แคมเปญดังกล่าวหวังว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในปีหน้า15-20% หลังยอดขายปี 55 ทะลุ 1.2 พันล้านบาท ปี 56 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1.8 พันล้านบาท
   
      คิทเช่นสตูดิโอ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักการทำอาหาร ซึ่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดมั่นใจว่าในตลาดยังไม่มีใครทำ และการที่นำ ชาคริต แย้มนาม มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพราะพระเอกหนุ่มมีไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับสินค้า คนทั่วไปติดลุกส์ชาคริตว่าเป็นพ่อครัวสมัยใหม่ และเชื่อว่าส่วนหนึ่งของแบรนด์จะยั่งยืนได้อยู่ที่การเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ฉะนั้นต้องเลือกให้เหมาะสม 

โสสุโก้ จับมืออู๋ ร่วมเปิดตัวกระเบื้องพิมพ์ลาย
     
      ฝากของผลิตภัณฑ์กระเบื้องปูพื้นและบุผนัง “โสสุโก้” ก็ดึง อู๋ ธนากร โปษยานนท์ มาร่วมเปิดตัวนวัตกรรมใหม่การพิมพ์ลายลงบนแผ่นกระเบื้อง งานนี้ทุ่มงบ 80 ล้านบาทหวังขายกิมมิคในภาวะที่ตลาดกระเบื้องระดับล่าง–กลางอาจติดลบถึง10%ขณะที่ตลาดบนโตได้7-8%
      คุณกิตติชัย ไกรก่อกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) เปิดเผยว่า ตลาดกระเบื้องสำหรับการซ่อมแซมหดตัวลงจาก 70% เหลือ 60% ถ้าเทียบตลาดสร้างใหม่ขยายตัวจาก 30% เป็น 40% แสดงว่าตลาดกระเบื้องระดับกลางถึงบนยังเติบโตได้ดีอยู่
      สำหรับกลุ่มลูกค้าที่โสสุโก้ต้องการคือ กลุ่ม Gen Y ส่วนเหตุผลที่เลือกอู๋เพราะมีแคแร็กเตอร์เป็นตัวของตัวเองเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นที่สำคัญอู๋ถ่ายภาพสวย
      ราคากระเบื้องพิมลายจะสูงกว่ากระเบื้องธรรมดา20% ปัจจุบันโสสุโก้มีกำลังการผลิต 50 ล้าน ตร.ม.ต่อปี ยอดขายครึ่งปีแรก2,650 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังนายกิตติชัย คาดว่าจะไม่ต่ำกว่านี้รวมรายได้ทั้งปี 5 พันล้านบาท
ดูลุกซ์หวั่นหนี้เน่าพุ่ง ดึงเจกระตุ้นยอดขาย
    
      อีกราย “สีดูลักซ์” ที่หวั่นว่าปัจจัยหนี้ครัวเรือน การเมือง เศรษฐกิจทรุดจะมาฉุดกำลังซื้อ เลยออกแคมเปญ ป้ายสีสันกับสีดูลักซ์ ดึง “เจ เจตริน วรรธนะสิน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หวังดึงคนรุ่นใหม่มาเปลี่ยนสีบ้านบ่อยขึ้น        
      คุณจรุง กาญจนภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อั๊คโช่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรก ภาพรวมตลาดสีทาอาคารจะทรงตัวหากเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดครึ่งปีหลังมีปัจจัยลบ เช่น หนี้ครัวเรือน ปัญหาการเมือง ฉะนั้นเพื่อกระตุ้นยอดขายล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ ป้ายสีสันกับสีดูลักซ์ ดึง เจ เจตริน วรรธนะสิน เป็นพรีเซ็นเตอร์  
      “เจ เจตรินมีแฟนคลับอายุ 12 – 30 ปี มีจิตวิญญาณของ DIY กลยุทธ์นี้ 80% เน้นบ้านเก่าทาสีใหม่ อีก 20% เป็นบ้านหลังแรก บ้านหลังใหม่ สำหรับตลาดรวมสีทาอาคาร 1.6 หมื่นล้านบาทดูลักซ์โตจากปีที่แล้ว 4-5%”
เมกาบางนา เลือกซี-แอมมี่ คู่รักมาโชว์หวาน
      
      และ เมกาบางนา โฮม แอนด์ แฟมิลี่ ลิฟวิ่ง อีกหนึ่งอีเว้นท์ที่ทุ่มงบกว่า 3 ล้านบาท นำคู่วิวาห์สุดหวาน ซี-แอมมี่ มาเผยสเปคเรือนหอในฝัน แคมเปญนี้คาดว่าจะเพิ่มขาช็อปขึ้น 15%  
      “ปัจจุบันศูนย์การค้าเมกาบางนาเปิดให้บริการครบ 1 ปีแล้ว โดยในปี 2256 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทั้งกำไร ยอดขายและรายได้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 9 % กลุ่มลูกค้าประจำจะอยู่ห่างจากศูนย์การค้า 20 กิโลเมตร รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 60, 000 บาทต่อเดือน”
#####

วันศุกร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

บาทแข็งส่งศรีไทยฯลงทุนนอก

สนั่น อังอุบลกุล
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ ได้อานิสงส์ค่าบาทแข็ง เร่งลงทุนนอกประเทศตั้งโรงงานผลิตพลาสติกและเมลามีนในเวียดนาม อินโดนีเซีย และอินเดีย มูลค่า 600 ล้านบาท ใช้เป็นฐานการผลิตแทนส่งออกจากไทย ลดต้นทุนการขนส่ง รองรับความต้องการลูกค้าเพิ่ม หลังไตรมาสแรกรายได้หายแล้ว 300 ล้านบาท

 สนั่น อังอุบลกุล    นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากปัญหาเงินบาทที่แข็งขึ้นจากต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้หายไปประมาณ 300 ล้านบาท จากการส่งออก จากเป้าหมายทั้งปีที่คาดว่าจะมีรายได้ 1.03 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 17% ที่มีรายได้ 8.7 พันล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มบรรจุภัณฑ์พลาสติกอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเติบโตจากปีก่อน 20% ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์จากเมลามีนจะเติบโตเพียง 5%

    ทั้งนี้มองว่าหลังจากนี้ไปภาคธุรกิจจะต้องลดค่าใช้จ่ายต่างๆลง เพื่อให้สอดรับกับรายรับรายจ่าย ขณะที่การรับออร์เดอร์การผลิตคงต้องพิจารณาอย่างรอบครอบ เพราะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าการผันผวนของค่าเงินบาทจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะส่งผลให้ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ การส่งออกอาจจะชะลอตัว ซึ่งอยากให้รัฐบาลดูแลในเรื่องของค่าเงินบาทอย่าให้มีการผันผวน และต้องมองคู่แข่งประเทศในอาเซียนให้ค่าเงินควรอยู่ในระดับเดียวกัน และที่สำคัญคือภาครัฐควรสามัคคีกัน เพื่อให้ผู้ประกอบการเกิดความมั่นใจในการแก้ปัญหาและกล้าที่จะลงทุน รับงานและผลิตสินค้าส่งออกไปยังตลาดต่างๆ เพราะหากนโยบายรัฐบาลยังไม่ชัดเจน การปรับตัวลำบาก

    "ช่วงต้นปีที่ผ่านมาโดนทั้งการปรับค่าแรง 300 บาท และค่าเงินบาทจึงทำให้รายได้ไตรมาสแรก หายไปส่วนหนึ่ง ซึ่งมองว่านโยบายลดดอกเบี้ย ไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อน แต่ความขัดแย้งจะทำให้นักลงทุนไม่มีความเชื่อมั่น และภาคเอกชนเห็นว่ารัฐบาลและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ควรทำงานไปในทิศทางเดียวกัน โดยต่างฝ่ายต่างใช้กลไกที่มีในการเข้ามาจัดการเงินที่เข้ามาเก็งกำไร เชื่อว่าจะดูแลค่าเงินบาทให้มีเสถียรภาพได้"

    ขณะเดียวกันมองว่าค่าเงินบาทควรอยู่ที่ระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่าดีที่สุด แต่ก็ยอมรับว่าคงเป็นเรื่องที่ลำบาก จึงมองว่าไม่ควรต่ำกว่า 29 บาท ผู้ประกอบการยังพอปรับตัวได้
สำหรับการปรับตัวในช่วงที่เงินบาทยังแข็งค่าอยู่นี้ บริษัทได้เร่งสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ และซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้ส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันบริษัทได้เร่งออกไปลงทุนต่างประเทศมากขึ้น โดยจะเร่งก่อสร้างโรงงานผลิตภาชนะบรรจุภัณฑ์พลาสติกอาหารและเครื่องดื่มที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนาม ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท

    ส่วนโรงงานผลิตภาชนะบรรจุภัณฑ์พลาสติกอาหารและเครื่องดื่มที่จาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาทนั้นถือว่าใช้เงินลงทุนไม่มาก เพราะเป็นการร่วมทุนกับผู้ประกอบการรายอื่น  และโรงงานเมลามีน ที่ประเทศอินเดีย ใช้เงินลงทุนประมาณ 200 ล้านบาท โดยโรงงานใหม่ทั้ง 3 แห่ง จะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ช้าสุดต้นปี 2557 เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าในต่างประเทศที่มีความต้องการสินค้าเพิ่มมากขึ้น

    "หากใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งออก จะต้องแบกรับต้นทุนด้านโลจิสติกส์เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานในประเทศไทย 4 แห่ง มีกำลังการผลิตพาสติกอยู่ที่ 6.6 หมื่นตันต่อปี ในขณะที่ เมลามีน มีกำลังการผลิตที่ 1.2 หมื่นตันต่อปี"

    สำหรับการจะขยายการลงทุนในต่างประเทศต่อไปนั้น มองว่าประเทศที่มีศักยภาพและสามารถขยายโรงงานเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคตจะเป็นประเทศเวียดนาม อินโดนีเซีย อินเดีย และสิงคโปร์ ในขณะที่ประเทศ สปป.ลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ ยังติดปัญหาด้านกฎหมาย การเมือง และระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น หากจะเข้าไปลงทุนใน 3 ประเทศนี้ จะต้องพิจารณาหลังจากที่มีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีเรียบร้อยแล้ว ถึงจะตัดสินใจได้

    "ในฐานะผมเป็นประธานคณะกรรมการพลังงานหอการค้าไทย ขอเรียนว่า ในวันที่ 5-8 มิถุนายนนี้ บริษัท ยูบีเอ็ม เอเชีย (ประเทศไทย) เตรียมจัดงานแสดงเทคโนโลยีพลังงานทดแทนระดับนานาชาติ ภายใต้ชื่อ "Renewable Energy Asia 2013" เพื่อเป็นแนวทางการอนุรักษ์พลังงานด้วยเทคโนโลยีและการจัดการด้วยวิธีต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี) ที่ต้องการให้เห็นความสำคัญในการลงทุนประหยัดพลังงาน โดยในปีนี้ตั้งเป้าลดการใช้พลังงาน 10% "

 จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,842 วันที่  9-11 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Read : 270 times

วันพฤหัสบดีที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

สตาร์บัคส์กลับมาใช้กลยุทธ์ Happy Hour

ที่มา นิตยสารผู้จัดการ 360°
หลังจากที่สตาร์บัคส์ตัดสินใจปรับสายการดำเนินงานมาให้บริการลูกค้าด้วยเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในการให้บริการช่วงเย็นๆ แดดร่มลมตกในพื้นที่ทดลอง 6 ร้านทางชายฝั่งทะเลตะวันตกในสหรัฐไปแล้ว และประกาศว่าจะขายไวน์และเบียร์ในร้านกาแฟสตาร์บัคส์ไม่น้อยกว่า 25 แห่งภายในสิ้นปีนี้ พร้อมกับเสิร์ฟอาหารประเภทกับแกล้มเพิ่มขึ้นด้วย

ตอนนี้สตาร์บัคส์ออกแผนงานการตลาดใหม่ที่เรียกว่าแคมเปญ Happy Hour อีกแล้ว เพื่อหวังจะเรียกลูกค้ามาใช้บริการทางการตลาดมากขึ้น ซึ่งนักการตลาดเห็นว่าแคมเปญนี้เขียนเป็นแผนงานอาจจะง่าย แต่ทำจริงให้เกิดประสิทธิผลจริงๆ ไม่ง่ายอย่างที่พูดแน่นอน

กลยุทธ์นี้เป็นส่วนหนึ่งของการแสวงหาช่องทางใหม่ๆ เพิ่มเติม จากเดิมที่สตาร์บัคส์หวังว่าจะเพิ่มจำนวนลูกค้าของตน ทั้งคนที่ชอบดื่มกาแฟและเครื่องดื่มอื่นที่ไม่ใช่กาแฟ ในช่วงเวลาที่เป็นช่วงยอดขายต่ำที่สุดของวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเวลาบ่ายและเย็น ขณะที่ไม่ทำให้ฐานลูกค้าประจำเดิมๆ ของสตาร์บัคส์หดหายไป

แนวความคิดในการพัฒนากลยุทธ์นี้มาจากการศึกษาตำนานความสำเร็จของแมคโดนัลด์ที่สามารถสร้างการเติบโตให้กับกิจการได้จากการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอาหารเช้าแบบเร่งด่วน

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารของบริษัทอินเตอร์แบรนด์ที่เป็นที่ปรึกษาของสตาร์บัคส์ก็ยอมรับว่า อาจจะเป็นไปได้ว่าการออกแคมเปญ Happy Hour นี้ พร้อมกับการเพิ่มเมนูเครื่องดื่มประเภทที่มีแอลกอฮอล์ อาจจะทำให้สตาร์บัคส์เสี่ยงเพิ่มขึ้นจากเดิมที่อาจจะสูญเสียลูกค้ากลุ่มที่เป็นครอบครัวที่มีลูกเล็กๆ ที่หลีกเลี่ยงไปร้านอาหารอื่นแทน เพราะที่สตาร์บัคส์กลายเป็นแหล่งที่มีคนขี้เหล้ามานั่งดื่มเต็มไปหมด และหลายคนก็ไม่ได้ดื่มแบบจิบๆ แต่ดื่มแบบหัวราน้ำ

เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้บริหารของสตาร์บัคส์ต้องเลือกเอาว่าจะตัดสินใจเพิ่มยอดการจำหน่ายและรายได้จากกลุ่มขี้เหล้ามากกว่ากลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวหรือไม่ ซึ่งหากช่วงบ่ายและเย็นเป็นช่วงที่เงียบเชียบที่สุดของการหมุนเวียนเข้า-ออกของลูกค้าในร้านกาแฟของสตาร์บัคส์อยู่แล้ว การเปิดบริการเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงนี้ ก็ไม่น่าจะกระทบต่อลูกค้าหลักของสตาร์บัคส์

แนวคิดของการจำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ของสตาร์บัคส์มาจากซีอีโอของสตาร์บัคส์ ที่เข้ามาบริหารกิจการสตาร์บัคส์ตั้งแต่ปี 2008 เพราะก่อนหน้านั้นการประกอบการของสตาร์บัคส์ไม่ค่อยประสบความสำเร็จทางธุรกิจตามที่ควรจะเป็นและไม่ได้ตามเป้าหมายของกิจการ

ดูได้จากการที่สตาร์บัคส์ตัดสินใจปิดกิจการร้านกาแฟของสตาร์บัคส์ไปกว่า 100 แห่ง หลังจากที่การเร่งเปิดร้านใหม่ๆ อาจจะมากเกินกว่าความต้องการของตลาด และการประกอบการของร้านกาแฟจำนวนหนึ่งไม่อาจจะหารายได้เพียงพอจะเลี้ยงตัวเองและคุ้มกับค่าใช้จ่ายประจำที่เกิดขึ้นทุกวันได้ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐและตลาดต่างประเทศหลายตลาดถดถอยลงไป

พฤติกรรมการดื่มกาแฟนอกบ้านในราคาต่อแก้วแพงอย่างที่สตาร์บัคส์จำหน่าย จึงกลายเป็นของฟุ่มเฟือยในช่วงที่ผู้คนพากันรัดเข็มขัดมากขึ้น ส่งผลให้กำไรโดยรวมของสตาร์บัคส์ลดลงตามไปด้วย

เมื่อซีอีโอคนใหม่เข้าไปปรับโครงสร้างธุรกิจตั้งแต่ปี 2008 ปรากฏว่ารายได้จากการดำเนินงานของสตาร์บัคส์เริ่มเพิ่มขึ้น 20% เป็น 11,700 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ผลกำไรก็เพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่าตัว และทำให้สตาร์บัคส์สามารถครองตลาดในสัดส่วนกว่า 33% ของมูลค่าการตลาดกว่า 26,500 ล้านดอลลาร์ของกาแฟและขนมขบเคี้ยวทั้งหมดในสหรัฐ ขณะที่ดังกิ้น โดนัทมีสัดส่วนครองตลาดรองลงมาคือประมาณ 16%

ที่จริงการปรับตัวของสตาร์บัคส์ก็เป็นไปตามกระแสและสภาวะของตลาดและอุตสาหกรรมนี้ เพราะแมคโดนัลด์เองก็หันเหธุรกิจจากการจำหน่ายอาหารฟาสต์ฟูดมาเป็นการเน้นเครื่องดื่มประเภทกาแฟมากขึ้น ด้วยการเปิด McCafe ที่มีการตกแต่งภายในด้วยสีเอิร์ธโทน และมีไวไฟให้ใช้ฟรี และขยายเมนูเพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่จะสั่งมากินได้มากขึ้นในระหว่างที่ใช้เวลาอยู่ในร้านของแมคโดนัลด์นานมากขึ้น

ส่วนทางดังกิ้น โดนัทก็ริเริ่มเมนูอาหารใหม่ๆ เพื่อปรับเปลี่ยนสินค้าให้หนีออกจากความจำเจ ซ้ำซาก และพยายามเพิ่มปริมาณยอดจำหน่ายและรายได้หลังจากผ่านเวลาอาหารเช้าไปแล้วเหมือนกัน

ที่ผ่านมา สตาร์บัคส์มีปริมาณธุรกิจค่อนข้างหนาแน่นในช่วงเวลาเช้าเหมือนกัน แต่หลังจากนั้น พนักงานส่วนใหญ่แทบจะตบยุงเพราะไม่มีลูกค้าแวะเวียนเข้าไปในร้าน ทำให้ต้นทุนการจ้างพนักงานทั้งวันทั้งคืนและต้นทุนค่าการก่อสร้างหรือเช่าอาคารสถานที่ไม่คุ้มค่าในช่วงบ่ายถึงเย็น

ในการที่จะเพิ่มจำนวนลูกค้าในร้านกาแฟสตาร์บัคส์ได้ ทางทีมงานการตลาดของสตาร์บัคส์ก็ต้องพยายามที่จะทำให้ลูกค้ามีเหตุผลอันสมควรที่จะเข้าไปในร้านของสตาร์บัคส์ และใช้เวลาให้นานขึ้นเพื่อทำอะไรที่ตนพอใจ

สิ่งที่เป็นความเปลี่ยนแปลงของสตาร์บัคส์ ภายใต้การบริหารงานของซีอีโอคนใหม่ไม่ใช่เพียงเรื่องของการจำหน่ายไวน์และเบียร์ หากแต่มีส่วนผสมหลายอย่างได้แก่

ประการแรก ขนาดของร้านกาแฟของสตาร์บัคส์ในหลายพื้นที่ใหญ่ขึ้น กว้างขวางขึ้น เช่นที่ชิคาโก แอตแลนตา เซาท์แคลิฟอร์เนีย

ประการที่สอง การตกแต่งภายในร้านมีการแบ่งสัดส่วนออกไปมากขึ้น แทนที่จะเป็นร้านกาแฟโล่งๆ เพื่อให้มีมุมสงบและหลบๆ ให้บรรดานักดื่มสามารถดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ได้อย่างสบายใจและสะดวกมากขึ้น

ประการที่สาม สตาร์บัคส์บางแห่งยังมีบาร์เมนู เพื่อให้เป็นกับแกล้มสำหรับประกอบการดื่มด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้าจะติดใจทั้งรสชาติของเครื่องดื่มและของอาหารการกิน

ประการที่สี่ เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา สตาร์บัคส์ได้เข้าไปซื้อกิจการบริษัทผลิตน้ำผลไม้ ชื่อ Evolution Fresh เป็นเงินกว่า 30 ล้านดอลลาร์ ทำให้สตาร์บัคส์พร้อมที่จะเริ่มทำการจำหน่ายเครื่องดื่มประเภทน้ำผลไม้ เพื่อขยายฐานการตลาดเครื่องดื่มของสตาร์บัคส์ที่ฉีกแนวออกไปจากการจำหน่ายกาแฟ โดยจะใช้การจำหน่ายผ่านช่องทางร้านค้าปลีกในสหรัฐด้วย

ประการที่ห้า ในส่วนของเครื่องดื่มประเภทกาแฟ สตาร์บัคส์เพิ่มกาแฟที่เป็นรสชาติอ่อนลงที่เรียกกันว่า บรอนซ์ คอฟฟี่ เพื่อรองรับลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เป็นกลุ่มที่ไม่ชอบกาแฟดำที่รสชาติเข้มข้นและแรงมากเกินไป ทำให้ผลิตภัณฑ์ของสตาร์บัคส์มีทั้งรสชาติอ่อนละมุน ปานกลาง และแบบเข้มข้น รวม 3 ระดับ

คอนโดต่ำ2.5 ล้านมาแรง ทำเลรถไฟชานเมืองสุดฮอต

ที่มา นิตยสารผู้จัดการ 360°
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยบทวิเคราะห์ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 55 เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังความตื่นตระหนกอุทกภัยช็อคตลาดไปชั่วขณะ ระบุคอนโดฯคึกคัก คนแห่ซื้อหวังรองรับหากเกิดภัยซ้ำสอง ชี้ระดับราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาทความต้องการซื้อเติบโตมากขึ้น ขณะที่ยูนิตเสนอขายส่วนต่อขยายBTS-MRTเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 40%

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับมุมมองภาพรวมของธุรกิจ ซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาริมทรัพย์เมืองไทยในปี 2555 ว่า ตลาดโดยรวมยังมีแนวโน้มเติบโตแต่ยังมีกระแสความวิตกกังวล ในเรื่องอุทกภัยเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นภาครัฐจึงต้องชัดเจนในแผนการบริหารจัดการน้ำ ตลอดจนนำเสนอแผนการพัฒนาเศรษฐกิจที่ต้องจูงใจ กลุ่มนักลงทุนต่างชาติให้เข้ามาในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ก็จะเป็น แรงหนุนในธุรกิจโดยรวมเติบโตเช่นกัน

จากการสำรวจล่าสุด พบว่า ตลาดเพื่อเช่าคาดว่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง อุปทานโดยรวมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น อย่างน้อย 3% จากปีที่ผ่านมา ส่วนอัตราการเข้าพักคาดว่ายังทรงตัวได้ดี ด้านราคาค่าเช่าคาดว่าจะขยับขึ้น โดยเฉลี่ยรวม 3-7% ส่วนปีนี้ตลาดคอนโดมิเนียมคาดว่าจะเป็นที่สนใจของอุปสงค์มากขึ้นด้วยปัญหาอุทกภัย ทำให้ผู้บริโภคเกิดความหวั่นวิตกต่อการดำเนินชีวิต อาจมีส่วนผลักดันให้อุปสงค์ดูดซับได้ดีขึ้นอย่างน้อย 4% ด้านผู้ประกอบการคาดว่าจะเริ่มทะยอยเสนอขายโครงการใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2555 มากขึ้นหลังจากรอดูสถานการณ์เมื่อปีที่ผ่านมา ยูนิตเสนอขายใหม่มีโอกาสเติบโตมากกว่า 50% เมื่อเทียบจากครึ่งปีหลัง 2554 โดยยังเน้นกลุ่มลูกค้าระดับล่างถึงกลางเป็นหลัก ห้องชุดราคาต่ำกว่า 70,000 บาทต่อตารางเมตร(ตร.ม.) ยังมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดอย่างน้อย 60% ของทั้งตลาด และอุปสงค์ยังตอบรับได้ดี

สำหรับตลาดแนวราบปีนี้ คาดว่า อุปทานยังทรงตัว เพราะผลกระทบจากอุทกภัย อย่างไรก็ตามผู้บริโภคที่มีความต้องการบ้านและทาวน์เฮาส์คาดว่ายังผลักดัน ให้เกิดอุปสงค์ในตลาดให้เติบโตได้อย่างน้อย 3-4% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายภาครัฐที่เข้ามาช่วยสนับสนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคด้วย

เมื่อวิเคราะห์ถึงภาพรวมตลาดคอนโดฯโดยรวมในปี 55 พบว่า กลุ่มราคาคอนโดฯที่เติบโตได้ดียังเป็นกลุ่มราคาต่ำกว่า 70,000 บาทต่อตร.ม.หรือราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท เพราะเป็นราคาที่ผู้บริโภคมีกำลังซื้อส่วนแบ่งทางการตลาดในกลุ่มนี้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เพราะแต่ละโครงการ มีจำนวนยูนิตเสนอขายสูง ส่วนแบ่งการตลาดของยูนิตเสนอขายในแต่ละรอบการสำรวจไม่ต่ำกว่า 60% ของยอดเสนอขายทั้งหมด ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และเล็กต่างเพิ่มการลงทุนในโครงการระดับนี้มากขึ้น ส่วนแบ่งการเสนอขายของผู้ประกอบการรายใหญ่และเล็กอยู่ที่ 55:45 และมีแนวโน้มที่อุปสงค์จะเติบโตได้ดีขึ้น เพราะต้องการลดความเสี่ยงในการซื้ออสังหาฯแนวราบที่อาจประสบภัยน้ำท่วมได้

“สินทรัพย์ที่น่าจับตามองในปี 55 ยังเป็นตลาดคอนโดฯ เพราะเหมาะกับการเป็นที่พักอาศัยและเพื่อการลงทุน โดยเฉพาะสถานการณ์จากอุทกภัยมีส่วนทำให้ผู้บริโภคแสวงหาที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย ส่วนการซื้อเพื่อลงทุนแม้จะลดลงไปในปีที่ผ่านมาบ้าง แต่คาดว่าจะกลับมา เติบโตอีกครั้ง เนื่องจากทำเลที่ดีเริ่มหายากขึ้น โครงการที่เหมาะสมต่อการพักอาศัยจะเหลือน้อยลง ดังนั้น ตลาดคอนโดฯใหม่ที่อยู่ในทำเลที่ดีอาจได้รับอานิสงส์ให้ขายไวกว่ากำหนด และตลาดมือสองจะขายได้ดี ในราคาที่สูงขึ้น"นายอนุกูล กล่าว

ด้านการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนที่เกิดขึ้นใหม่และมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้น มีส่วนทำให้เกิด การพัฒนาโครงการตามแนวก่อสร้างมากยิ่งขึ้น เช่น นนทบุรี บางซื่อ สุขุมวิทรอบนอก ธนบุรี ฯลฯ มากขึ้น แต่สัดส่วนการพัฒนาโครงการที่ใกล้บริเวณ BTS MRT ในระยะไม่เกิน 550 เมตร มีเพียง 20% จากยอดรวมการเสนอขายทั้งหมดในพื้นที่นั้นๆ และมีสัดส่วนการเติบโตของยูนิตเสนอขายในพื้นที่ใกล้แนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นกว่า 40% จากครึ่งปีแรก 2554

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ขายรถหั่นกำไรโละสต๊อก ใจป้ำแจกแถมคันละแสน

updated: 06 พ.. 2556 เวลา 01:12:53 น.

ดีลเลอร์ขายรถดิ้นไม่ง้อบริษัทแม่เปิดศึกถล่มแคมเปญ แจกทองแถมมอเตอร์ไซค์หั่นมาร์จิ้น กันฝุ่นตลบ หวังระบายสต๊อกที่อัดแน่นเต็มโชว์รูม ย้ำพิษลูกค้ารถคันแรกยืดเวลารับรถ ทิ้งจองแรงขึ้นเรื่อย ๆ ค่ายรถเร่งหามาตรการสกัดสงครามราคา ห่วงแคมเปญเก๋งเล็ก 0% ทำป่วนตลาด

ผลกระทบจากโครงการรถคันแรกที่มีลูกค้าจำนวนไม่น้อยทิ้งจอง เลื่อนเวลารับรถ รวมถึงการผลักรถเข้าโชว์รูมอย่างหนักของทุกยี่ห้อ ส่งผลให้ตอนนี้ดีลเลอร์ขายรถยนต์ทั่วประเทศกำลังปั่นป่วนอย่างหนักกับภาวะตลาดชะลอตัวและสต๊อกสินค้าบวม

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า การแข่งขันในตลาดรถยนต์ช่วงนี้ดุเดือดกว่าทุกครั้งที่ผ่านมามาก ทุกยี่ห้อพยายามสร้างตัวเลขขายด้วยการกระตุ้นตลาดใหม่ ๆ ที่นอกเหนือไปจากตัวเลขการส่งมอบรถยนต์ปกติที่ได้รับอานิสงส์จากโครงการรถคันแรก หรือแบ็กออร์เดอร์ของปีที่แล้ว จนกระทั่งเกิดปรากฏการณ์การตลาดใหม่คือ ดีลเลอร์หลายรายต้องลุกขึ้นมาทำแคมเปญล่อใจลูกค้ากันเอง โดยไม่ต้องรอโปรแกรมส่งเสริมการขายจากบริษัทแม่

แหล่งข่าวดีลเลอร์ขายรถยนต์ในเขตพื้นที่ กทม. กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ตอนนี้ดีลเลอร์ต้องออกแรงอย่างหนัก เพราะสต๊อกรถยนต์ที่มีอยู่ขยายเวลาออกไปเรื่อย ๆ เดิมไม่กี่วันขายหมด แต่เดี๋ยวนี้ขยายไปเป็นเดือนแล้ว รถเต็มโชว์รูมจนไม่มีที่จอด ต้องไปหาพื้นที่ตามอาคาร สนามเด็กเล่น หรือลานทั่วไป ซึ่งพอมีพื้นที่ให้เช่าจอดรถเพื่อรอขาย รอส่งมอบ

แหล่งข่าวยังกล่าวอีกว่า ปัญหาที่พบมากขึ้นคือกำหนดระยะเวลารับรถของลูกค้ารถคันแรกที่ออร์เดอร์กันไว้ตั้งแต่ปีก่อน ถึงเวลารถพร้อมเซล โทร.ไปตามก็ขอเลื่อนออกไปก่อนซะอีก ให้เหตุผลต่าง ๆ นานา บางคนเลวร้ายถึงขั้นทิ้งจองเลยก็มี

"ปัญหานี้ทำให้การแข่งขันระหว่างดีลเลอร์ด้วยกันเองหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ โดยปกติบริษัทแม่จะมีงบประมาณมาให้ดีลเลอร์ก้อนหนึ่งในการทำแคมเปญแต่ละเดือน และยังมีงบประมาณที่เป็นในส่วนของกำไรที่ดีลเลอร์แต่ละรายจะนำมาใช้อีกจำนวนหนึ่ง ช่วงนี้คงต้องหั่นมาร์จิ้นเอามาทำเป็นแคมเปญ ขอเพียงมีลูกค้าเดินเข้ามาในโชว์รูมก็แฮปปี้แล้ว" แหล่งข่าวกล่าว

"ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจแคมเปญที่ดีลเลอร์แต่ละรายนำออกมาห้ำหั่นกันช่วงนี้ จะมีทั้งลด-แลก-แจก-แถม รวมถึงอัตราดอกเบี้ย ซึ่งดุเดือดเลือดพล่าน

บริษัท โตโยต้า ลิบรา จำกัด ดีลเลอร์รายใหญ่ฝั่งตะวันออก ทั้ง 2 สาขาคือ สำนักงานใหญ่ ถนนประเสริฐมนูกิจ และวัชรพล จัดแคมเปญพิเศษ "Libra V Day" ในวันที่ 2-5 พฤษภาคมนี้ มอบข้อเสนอสำหรับรถยนต์นั่ง โตโยต้า วีออส รุ่นปรับปรุงโฉมปี 2553 ทุกรุ่น รับส่วนลดสูงสุด 100,000 บาท หรือเลือกรับของแถม รถจักรยานยนต์ยามาฮ่า ฟีโน่ 1 คัน ซัมซุงกาแล็กซี่แท็บ 2 พร้อมใช้สมาร์ทโฟน จีบุ๊ก ฟรี 1 ปี และทองคำน้ำหนัก 1 บาทรถกระบะโตโยต้า วีโก้ จัดแพ็กเกจซื้อรถแถมรถ "ซื้อวีโก้ แถมฟีโน่" หรือจะเลือกแพ็กเกจ "ซื้อวีโก้ แถมทอง 1 บาท" หรือชุดโฮมเธียเตอร์ แอลจี โดยทั้ง 2 แพ็กเกจมาพร้อมประกันภัยชั้น 1 และของแถมอีกมากมาย

ขณะที่ในส่วนของรถยนต์มือสอง หรือโตโยต้า ชัวร์นั้น ลิบรายังได้จัดแคมเปญ "ขายรถเก่ามาซื้อรถใหม่" ลูกค้าจะได้รับไอแพด มินิ จำนวน 1 เครื่อง

บริษัท โตโยต้า บัสส์ จัดแคมเปญ "แรงจัด ทอร์นาโด พี่มากให้มาก รถใหม่ป้ายแดง ราคามือ 2" สำหรับรถยนต์โตโยต้ารุ่นต่าง ๆ โดยใช้การดาวน์น้อยผ่อนนานเป็นหลัก

เช่นเดียวกับโชว์รูมโตโยต้า เอกนิมิต ย่านบางบัวทอง จัดแคมเปญ "วีออส-ยาริส" ดาวน์ 1 บาท ทุบราคาสะใจ พร้อมดอกเบี้ยต่ำนานสูงสุด 48 เดือน โดยใช้วิธีให้ลูกค้าวางเงินดาวน์ขั้นต่ำ 10% และโชว์รูมจะนำส่วนต่างตรงนี้มาเป็นส่วนลดเงินดาวน์ให้กับลูกค้าแทน และโชว์รูมย่านเกษตร ที่จัดแคมเปญสำหรับโตโยต้า อัลติส พร้อมมอบส่วนลดให้ 100,000 บาท หรือเลือกผ่อนเพียงเดือนละ 7,XXX บาท

ด้านดีลเลอร์รถยนต์ฮอนด้า ย่านลาดพร้าว ก็เลือกทำแคมเปญแจก โดยลูกค้าที่ซื้อฮอนด้า บริโอ้ นอกจากส่วนลดมูลค่า 50,000 บาทแล้ว ยังเลือกรับทองคำมูลค่า 2 บาท พร้อมรับฟิล์มกรองแสง และส่วนลดประกันภัยอีก 6,000 บาท หรือซื้อฮอนด้า อเมซ แถมประกันภัยชั้น 1

ค่ายนิสสัน ดีลเลอร์หลายรายจัดแคมเปญรับรถวันนี้ ได้ดอกเบี้ยต่ำสุดสุด แถมฟรีประกันภัย และฟรีชุดนิสสันซัมเมอร์กิฟต์ มูลค่า 1,000 บาท เมื่อรับรถทุกรุ่นภายในวันที่ 31 พ.ค.นี้

แหล่งข่าวตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นิสสันรายใหญ่กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขายรถตอนนี้ลำบากมาก แคมเปญบริษัทแม่ก็ไม่คลอดสักที นิสสัน มาร์ช เดิม บริษัทแม่จ่ายค่าประกันภัย 5,000 บาท ที่เหลือลูกค้าจ่าย ตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว

ขณะที่นิสสัน อัลเมร่า ไม่มีการทำแคมเปญช่วยเหลือแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่รถรุ่นนี้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการส่งโตโยต้าวีออสรุ่นใหม่ออกมาทำตลาด

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ผลกระทบจากการออกทำแคมเปญเองของบรรดาดีลเลอร์รถยนต์ สิ่งหนึ่งที่คนในวงการรถยนต์เป็นห่วง และจะเป็นปัญหาตามมาก็คือ "สงครามราคา" เนื่องจากระบบนี้จะทำให้ตลาดเสียหาย ซึ่งบริษัทแม่แต่ละยี่ห้อให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก

นางสาวสุรีทิพย์ ละอองทอง โฉมทองดีผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้ภาวะปัญหารถล้นสต๊อกมีจริง โดยเฉพาะค่ายที่มีการปรับเปลี่ยนรุ่น รวมทั้งไมเนอร์เชนจ์ น่าจะได้รับผลกระทบ

สิ่งที่น่ากลัวนอกจากสงครามราคา ยังมีประเด็นที่หลายค่ายเลือกชูการขายด้วยอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแนวทางนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อ 2-3 ปีก่อน ที่เก๋งเล็กเลือกใช้วิธีดาวน์ 0% แต่วันนี้อาจจะมีค่ายรถบางค่ายเลือกใช้ดอกเบี้ย 0% ซึ่งจะทำให้ตลาดปั่นป่วนได้ทีเดียว

เช่นเดียวกับ นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ซึ่งก็ให้ความสำคัญกับปัญหาสงครามราคาระหว่างดีลเลอร์ด้วยกันเอง โดยส่งทีมงานเข้าไปพูดคุยถึงผลเสียที่จะตามมาและหาทางช่วยดีลเลอร์ให้แต่ละรายมีผลกำไรที่เหมาะสม

ด้านนายประพัฒน์เชยชม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและการขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากยอดขายรถยนต์ในปีที่ผ่านมาเป็นการดึงกำลังซื้อไปจากความต้องการของปีนี้ที่ราว 10-15% ทำให้ทุกค่ายต่างก็พยายามรักษายอดขายให้คงระดับไว้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ทำให้ช่วง 3-4 เดือนแรกของปี บรรดาค่ายรถยนต์จะมีการจัดแคมเปญที่แข่งขันกันอย่างรุนแรงเพื่อดึงกำลังซื้อ

แต่ภาพโดยรวมนั้นไม่น่าเป็นห่วงเนื่องจากผู้บริโภคยังคงมีกำลังซื้อที่ดีอยู่ จากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มสดใส รวมถึงค่ายรถก็มีแผนที่จะแนะนำสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาเติมเต็มตลาดอีกหลายรุ่น เชื่อว่ายอดขายรวมไม่น่าจะลดลงมากนัก โดยเซ็กเมนต์ที่จะกลับมามีการเติบโตอย่างชัดเจนในปีนี้ คือซีเซ็กเมนต์ หลังจากปีที่ผ่านมาเป็นปีทองของอีโคคาร์ ซึ่งนิสสันเองก็มีมาร์เก็ตแชร์ในตลาดถึง 50%

ขณะที่แหล่งข่าวจากบริษัท เชฟโรเลตเซลส์ ประเทศไทย จำกัด ยืนยันว่า ปัญหาตัดราคาระหว่างกันของดีลเลอร์เชฟโรเลตไม่น่ามี เพราะปัจจุบันมีโชว์รูมเชฟโรเลตจังหวัดละ 1 โชว์รูมเท่านั้น ตอนนี้บริษัทมี 73 แห่ง แต่ถ้าอนาคตขยายเพิ่มเป็น 120 แห่ง ก็อาจจะมีความเป็นไปได้

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊คกับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ที่
www.facebook.com/prachachat
ทวิตเตอร์ @prachachat

สินเชื่อบัตรเงินสดเดือด แบงก์อ้าแขนคุมหนี้อยู่

updated: 07 พ.ค. 2556 เวลา 17:15:46 น.

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สินเชื่อบัตรกดเงินสดระอุ แบงก์ใหญ่อัดโฆษณา-แคมเปญ ปูพรมตลาดไตรมาส 2 เจาะกลุ่มมนุษย์เงินเดือน มีวงเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน ตั้งเป้าโตกระฉูด ย้ำคัดเข้มคุณภาพลูกค้า คุมภาระหนี้-วงเงิน-เสริมโปรโมชั่นสร้างวินัยลูกค้า

นางสาวอารยา ภู่พานิช ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ธนาคารเพิ่งออกภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่เพื่อโปรโมตสินเชื่อบัตรกดเงินสด Speedy Cash เน้นขยายตลาดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นที่ต้องการวงเงินสินเชื่อเผื่อความจำเป็นใช้ฉุกเฉิน เน้นกลุ่มที่มีรายได้ตั้งแต่ 15,000-30,000 บาท/เดือน ซึ่งสามารถอนุมัติสินเชื่อได้ภายใน 1 วัน และโอนเงินวันถัดไป หรือออกบัตรกดเงินสดให้ลูกค้าได้ภายใน 3 วัน ตอบโจทย์การใช้งานได้รวดเร็ว

"สินเชื่อกลุ่มนี้เราทำตลาดมาพอสมควร ที่ผ่านมาใช้ช่องทางสาขาและเทเลมาร์เก็ตติ้งเป็นหลัก ซึ่งเราก็อยากได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัดที่ยังไม่ค่อยทราบว่าธนาคารมีสินเชื่อแบบไม่ต้องมีหลักประกัน ก็ต้องสร้างการรับรู้เพิ่มขึ้น รวมถึงมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ช่วง 2 เดือนแรกให้แก่ลูกค้าด้วย"

พร้อมกับยอมรับว่าการอนุมัติสินเชื่อนี้เข้มงวดพอสมควร โดยจะพิจารณาจากรายได้ ความสามารถและพฤติกรรมการชำระหนี้จากฐานข้อมูลของเครดิตบูโร ที่ผ่านมาอัตราการอนุมัติสินเชื่ออยู่ที่ประมาณ 30% เท่านั้น และคุมคุณภาพหนี้ด้วยการให้วงเงินที่เหมาะสม ไม่สูงเกินไป ทำให้เอ็นพีแอลอยู่ที่ประมาณ 2% จึงถือว่าดีมาก ส่วนโอกาสที่จะขยายสินเชื่อนี้ก็ยังมีค่อนข้างมาก เพราะพอร์ตยังเล็ก โดยตั้งเป้าหมายขยายฐานลูกค้าปีนี้ให้เป็น 9 แสนราย และพอร์ตสินเชื่อคงค้างน่าจะอยู่ที่ประมาณ 4 หมื่นล้านบาท เติบโต 30%

ด้านนายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ล่าสุดธนาคารเพิ่งออกแคมเปญพิเศษ "มีวินัย จ่ายคืนดี ลดดอกเบี้ยสูงสุด 12% ต่อปี" เพื่อมาขยายฐานลูกค้าใหม่ที่สมัครบัตรกดเงินสด K-Express Cash ซึ่งจะได้รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยลงเดือนละ 1% ทุกเดือน เป็นระยะเวลาสูงสุดถึง 12 รอบบัญชี หรือเท่ากับลดดอกเบี้ยลงไปสูงสุด 12% ต่อปีจากปกติ ทั้งนี้ ลูกค้าจะต้องมียอดคงค้าง ณ วันตัดรอบบัญชีไม่น้อยกว่า 50% ของวงเงินที่ได้รับอนุมัติ และชำระตรงเวลาด้วย

"เราพยายามสนับสนุนในแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เป็นห่วงเรื่องภาระหนี้ครัวเรือน แคมเปญที่ออกมาก็พยายามส่งเสริมให้ลูกค้ามีวินัย และไม่กระตุ้นให้สร้างหนี้โดยไม่จำเป็น แต่เน้นเป็นวงเงินเผื่อฉุกเฉิน ซึ่งปัจจุบันธนาคารมีลูกค้าราว 8 แสนราย มูลค่าพอร์ตสินเชื่อคงค้างประมาณ 1.1 หมื่นล้านบาท และธนาคารก็ยังมองว่าตลาดนี้มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยตั้งเป้าหมายขยายฐานสินเชื่อในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท หรือเติบโต 47%" นายชาติชายกล่าว

ด้านนางสาวสุดาพร จันทร์วัฒนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจสินเชื่อบุคคล บมจ.บัตรกรุงไทย (เคทีซี) กล่าวว่า ต้นเดือน มิ.ย.นี้ เคทีซีก็มีแผนจะออกแคมเปญใหม่มาเพิ่มเติมสำหรับสินเชื่อวงเงินหมุนเวียน KTC Cash Revolve ซึ่งรับช่วงต่อกับแคมเปญ "เคลียร์หนี้ ซีซั่น 2" ที่กำลังจะหมดลงในกลางเดือน พ.ค. ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแคมเปญที่ประสบความสำเร็จมากตั้งแต่การเปิดตัวครั้งแรกในปลายปีที่แล้ว และต้องขยายเป็นซีซั่น 2 ที่เพิ่มการจับรางวัลเคลียร์หนี้ให้เป็น 3 รอบ ตอบโจทย์ทั้งในแง่พฤติกรรมลูกค้าและคุณภาพหนี้ที่ดีขึ้น

นางสาวสุดาพรกล่าวถึงการขยายตลาดปีนี้ว่า เคทีซีตั้งเป้าหมายสินเชื่อเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 6% จากมูลค่าพอร์ตสินเชื่อประมาณ 1.34 หมื่นล้านบาท และเน้นขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 1 แสนราย จากปัจจุบัน 6.4 แสนราย เน้นลูกค้ากลุ่มระดับกลางขึ้นไป มีรายได้ประจำตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ซึ่งที่ผ่านมาก็พิจารณาสินเชื่อค่อนข้างเข้มงวด อัตราการอนุมัติประมาณ 35% เท่านั้น ส่วนลูกค้าเองก็จะเน้นใช้ในส่วนที่จำเป็น อัตราการเบิกใช้วงเงินประมาณ 50% ของวงเงินที่อนุมัติไป จึงถือว่าโดยรวมแล้วไม่ได้เสี่ยงมากนัก

ร่วมเป็นแฟนเพจเฟซบุ๊คกับประชาชาติธุรกิจออนไลน์ที่
www.facebook.com/prachachat
ทวิตเตอร์ @prachachat

ผุุดร.พ.-ศูนย์พักฟื้นหรูรับผู้สูงอายุ กรุงเทพ-บำรุงราษฎร์นำทัพลงทุน

updated: 06 พ.ค. 2556 เวลา 00:20:51 น.
โรงพยาบาลเอกชนสบช่องไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ค่ายใหญ่แห่ชิงเค้ก ร.พ.กรุงเทพ เปิดศูนย์ผู้ป่วยสูงอายุ เล็งผุดโมเดลโรงพยาบาลผู้สูงอายุใน 2 ปี บำรุงราษฎร์เตรียมเปิดเนิร์สซิ่งโฮม กลุ่มหมอบุญทุ่มพันล้านเปิดรีไทร์เมนต์โฮม รับญี่ปุ่นวัยเกษียณ ด้านผู้นำตลาดกล้วยน้ำไท ลุยขยายเตียงรับลูกค้าทะลัก

.พ.ปรา เสริฐ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหารและกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีความสนใจจะสร้างโรงพยาบาลดูแลผู้สูงอายุ เนื่องจากมองเห็นโอกาสและช่องว่างทางการตลาด จากสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น ปัจจุบันมีที่ดินแล้วที่เขาใหญ่ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการอีก 2 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังสนใจจะทำแพ็กเกจยา สำหรับผู้สูงอายุ โดยผู้ป่วยเข้ารับการตรวจเลือดและรักษาครั้งแรก จากนั้นสามารถซื้อแพ็กเกจยาที่สอดคล้องกับโรคที่เป็นอยู่ได้ที่โรงพยาบาล กรุงเทพ และมีแผนจะขยายไปสู่ร้านขายยาในอนาคต ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกให้แก่ผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงยาได้มากขึ้น 

ด้าน น.พ.ชาตรี ดวงเนตร ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ-การแพทย์ และกรรมการรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลกรุงเทพได้เปิดศูนย์ให้บริการผู้ป่วยสูงอายุแบบองค์รวม มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้ป่วยสูงอายุโดยตรง ร่วมกับโรงพยาบาลเมาท์ ไซนาย นิวยอร์ก สหรัฐ ผู้เชี่ยวชาญอันดับ 1 ด้านการดูแลผู้สูงอายุ เข้ามาให้การอบรมบุคลากร โดยพร้อมจะขยายแนวคิดนี้ไปยังโรงพยาบาลเครือข่ายที่มีอยู่ และมีแผนเพิ่มบริการด้านอื่น ๆ เข้ามาเสริมในอนาคต 

ปัจจุบันไทย กำลังก้าวเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจผู้สูงวัย จากอัตราการเกิดลดลง ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปเพิ่มจำนวนขึ้น ด้วยการศึกษาที่ดีขึ้นและคนหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ประมาณการว่าประชากรผู้สูงอายุจะเพิ่มจาก 9.4% ปี 2543 เป็น 25.1% ปี 2573 

ขณะ ที่นายแพทย์บุญ วนาสิน ประธานกรรมการ บริษัท กลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี กรุ๊ป กล่าวว่า อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง "รีไทร์เมนต์โฮม" และ "เนิร์สซิ่งโฮม" รูปแบบของบ้านพัก และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ รวม 5 โครงการ ที่หัวหิน สมุย ภูเก็ต รองรับผู้สูงอายุต่างชาติ ขณะที่ราชบุรีและรังสิต คลอง 5 รองรับคนไทย ใช้งบฯทั้งสิ้น 1,000 ล้านบาท อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 30-40% คาดว่าโครงการที่หัวหินและราชบุรีจะเปิดได้ไตรมาส 2 ปี 2557 

"ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวราคาเริ่มต้น 2-3 ล้านบาท คอนโดฯ 5 ล้านบาท เริ่มทำการตลาดบ้างแล้ว คนที่มีกำลังซื้อสนใจ อยากอยู่ใกล้หมอ เรายังมีที่ดินอื่น ๆ จะนำมาทำต่อ อย่างพระราม 9 ต่างประเทศ เริ่มมีเจรจากับจีน" น.พ.บุญกล่าวและว่าสถานพยาบาลผู้สูงอายุและรีไทร์เมนต์โฮมในไทยมีจำนวนมาก แต่ถ้าเป็นโรงพยาบาลผู้สูงอายุในไทยและเอเชียยังไม่มี ต่างจากประเทศกลุ่มยุโรป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าตลาดมีความต้องการ จากจำนวนผู้สูงอายุ ขณะนี้มีสัดส่วน 11% ของประชากรหรือราว 7 ล้านคน จะขยับเป็น 15-20% ใน 10 ปีข้างหน้า และยังมีชาวต่างชาติ อาทิ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ที่ทำงานในไทยมานาน และยังต้องการใช้ชีวิตหลังเกษียณ ซึ่งขณะนี้ก็มีต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่รวมกัน อาทิ กลุ่มสแกนดิเนเวียที่หัวหิน กลุ่มรัสเซีย เยอรมนีที่พัทยา

"จำเป็นต้องทำ เพราะผู้สูงอายุใช้เวลารักษาในโรงพยาบาลนาน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ก็น่าจะมีที่พักฟื้น เพื่อลดค่าใช้จ่ายของคนไข้"

ด้าน โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท 2 ผู้เล่นหลักในตลาดผู้สูงอายุ อยู่ในตลาดมา 30 ปี นายศีขรินทร์ ชเนศร์ ผู้อำนวยการแผนกผู้สูงอายุ กล่าวว่า การที่โรงพยาบาลหลายค่ายจะเข้ามาสู่ตลาดนี้ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีทางเลือกมากขึ้น ปัจจุบันกล้วยน้ำไท 2 มีลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ มีสัดส่วน 80% ขณะนี้อยู่ระหว่างขยายตึกให้บริการหลังใหม่ มีห้องพัก 70 เตียง จากที่มีอยู่ 80 เตียง คาดว่าจะเปิดใช้ปลายปีนี้ 

"เราถนัดเรื่องการ ดูแลผู้สูงอายุ ก็จะขยายงานมากขึ้น กล้วยน้ำไท 1 เตรียมจะเปิดคลินิกผู้สูงอายุ จากเดิมเป็นแค่แผนกหนึ่ง" นายศิขรินทร์กล่าว 

ด้าน โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ น.พ.นำ ตันธุวนิตย์ ผู้อำนวยการด้านการแพทย์ กล่าวว่า สนใจที่จะทำ "เนิร์สซิ่งโฮม" เพื่อให้บริการผู้ป่วยผู้สูงอายุ ปัจจุบันมีสัดส่วนที่เข้ามาใช้บริการจำนวนมาก โดยทางโรงพยาบาลมีความพร้อมด้านบุคลากร แพทย์ที่ศึกษาด้านผู้สูงอายุจากอเมริกาและอังกฤษ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่ได้มีการแยกเป็นศูนย์ผู้ป่วยสูงอายุอย่างชัดเจน กำลังศึกษาหลาย ๆ แนวทาง 

"เรามีตึกใหม่ที่กำลังสร้างและอาคารเดิมที่กำลังปรับ พื้นที่ อย่างเนิร์สซิ่งโฮมก็เป็นไอเดีย ผู้สูงอายุที่เคยป่วยและอาการดีแล้ว แต่ยังต้องการการดูแลใกล้ชิด แต่ลูกหลานทำงานไม่มีคนดูแล ตลาดตรงนี้น่าจะดี เพราะจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น" นายแพทย์นำกล่าว

"โตชิบา"ตั้งรง.ใหม่รับแอร์โต เร่งขยายดีลเลอร์"ลาว-เขมร"

updated: 08 พ.ค. 2556 เวลา 12:23:29 น.
ที่มาประชาชาติธุรกิจออนไลน์

โตชิบาลงทุนครั้งใหญ่เตรียมเปิดโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศแห่งที่ 2 ใหญ่ที่สุดในเอเชียรองรับความต้องการตลาดไทย ส่งออกต่างประเทศรับดีมานด์ทะลัก เร่งขยายดีลเลอร์ในลาว พร้อมนำร่องส่งสินค้ารุกลาว-เขมรหลังไทยได้สิทธิ์ดูแล จับตาภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้า-ไอที ชี้ตลาดสุดฝืด เหตุรถคันแรก คนหันลงทุนหุ้น-ทอง

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีนี้กลุ่มที่มีการเติบโตค่อนข้างดีมาก และถือเป็นตัวขับเคลื่อนตลาดอย่างเห็นได้ชัดคือเครื่องปรับอากาศ โดยบริษัทเตรียมที่จะเปิดตัวโรงงานแห่งใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการของตลาดที่มีเพิ่มขึ้นทั้งในเมืองไทย รวมถึงเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ โดยตั้งอยู่บริเวณเดียวกับโรงงานเดิมที่นิคมอุตสาหกรรมบางกะดี ถือเป็นโรงงานที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย และเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของโตชิบา

นอกจากนี้ จะเดินหน้าส่งสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดต่อเนื่องในทุก ๆ กลุ่ม รวมถึงสินค้าในกลุ่มไอที ซึ่งแนวโน้มปีนี้คาดการณ์กันว่าตลาดค่อนข้างซบเซาและเติบโตไม่ดีนัก โดยเฉพาะกลุ่ม "โน้ตบุ๊ก" ที่ได้รับผลกระทบจากการเติบโตและความนิยมใน "แท็บเลต" ที่สูงขึ้น ซึ่งบริษัทเตรียมออกสินค้าใหม่ในกลุ่มโน้ตบุ๊กออกมากระตุ้นตลาดในเร็ว ๆ นี้

ในส่วนของทีวีเตรียมเปิดตัวรูปแบบที่เป็น "ทีวีดิจิทัล" ออกมา ซึ่งขณะนี้โตชิบา มีความพร้อม รอเพียงการประกาศหลักเกณฑ์อย่างเป็นทางการของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นอกจากนี้ยังคงโฟกัสสินค้ารุ่นประหยัดพลังงาน โดยเฉพาะจากค่าไฟที่เพิ่มขึ้นก็มีส่วนช่วยดันตลาด ทำให้ผู้บริโภคเริ่มหันมาให้ความสำคัญที่สินค้าประหยัดพลังงานมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หัวเรือใหญ่โตชิบา ไทยแลนด์ เริ่มเป็นกังวลว่าอาจจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและเศรษฐกิจโดยภาพรวม คือเริ่มเห็นสัญญาณตลาดฝืดจากการใช้จ่ายที่ค่อนข้างระมัดระวังของผู้บริโภคตั้งแต่ต้นปี อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงเปิดตัวสินค้าใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดตามแผนที่วางไว้อย่างต่อเนื่อง

"สาเหตุหลักคือ ลูกค้าส่วนใหญ่มีการใช้เงินล่วงหน้าไปแล้วทั้งรถคันแรก รวมถึงนำเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดทอง รวมถึงอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา เห็นชัดว่าการใช้จ่ายมันฝืด จากตอนแรกเชื่อว่าจะต้องบูมแน่นอน ตอนนี้ก็ตั้งเป้าการขายระดับธรรมดาแล้วแต่เราก็เตรียมไว้ถ้าเผื่อมันพลิกสถานการณ์ดีขึ้น เราก็สามารถเร่งการผลิตขึ้นมาได้"

นางกอบกาญจน์ฉายภาพเพิ่มเติมว่า โตชิบา ประเทศไทย ปัจจุบันได้สิทธิ์ดูแลตลาดในลาวและกัมพูชาเพิ่มขึ้นมา โดยในปีนี้ได้มีการขยายจำนวนดีลเลอร์ในลาวเพิ่มมากขึ้นทั้งในเขตเวียงจันทน์ สะหวันนะเขต ปากเซ ล่าสุดยังได้ร่วมมือกับอาชีวะ

"ปาก ป่าสักเทคนิคอล คอลเลจ" ที่เวียงจันทน์ ซึ่งเป็นโรงเรียนอาชีวะอันดับ 2 ของลาว โดยจัดส่งบุคลากรของไทยเข้าไปให้การอบรมและเทรนนิ่งอาจารย์และนักเรียน

นอกจากนี้ ยังใช้สถานที่ดังกล่าวเป็นหนึ่งในศูนย์ซ่อมของโตชิบา ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสังคมที่โตชิบาทำในกลุ่มประเทศอาเซียน เพื่อให้ครูและนักเรียนได้ฝึกฝนทักษะในการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า



"น้ำดื่ม" โหมปลุกยอด อัดโปรโมชั่น...ตามรอย "ชาเขียว"


updated: 08 พ.ค. 2556 เวลา 11:58:58 น.

ที่มา ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
ตลาดน้ำดื่ม 2.3 หมื่นล้านบาทช่วงหน้าร้อนปีนี้ดูจะคึกคักมากกว่าปกติ เพราะทุกค่ายต่างงัดแคมเปญโปรโมชั่นชิงโชคออกมาวาดลวดลายกระตุ้นยอดขายกันอย่างถ้วนหน้า โดยเฉพาะท็อปไฟฟ์ยักษ์ใหญ่ในตลาดทั้งสิงห์ คริสตัล ช้าง ฯลฯ

โดยทุกค่ายต่างจัดหนัก จัดเต็ม ซึ่งมักไม่เห็นภาพนี้มากนักในอดีต ไม่เหมือนกับ "ชาเขียวพร้อมดื่ม" ที่กลยุทธ์ดังกล่าวกลายเป็น "ขาประจำ" ที่ต้องทำกันตลอดทุกเทศกาล ไม่เว้นโลว์ซีซั่น หรือช่วงปลายปี อย่างไรก็ตาม หากดูความเคลื่อนไหวของตลาดน้ำดื่มขณะนี้ดีกรีการแข่งขันก็ดูไม่ยิ่งหย่อนไปจากตลาดชาเขียวมากนัก เมื่อทุกค่ายต่างทุ่มงบฯชิงโชคกันแบบไม่มีใครยอมใคร

ล่าสุดที่สร้างความฮือฮาพอสมควร คือการที่ผู้นำตลาดอย่าง "สิงห์" ก็ออกมากระหน่ำคอนซูเมอร์ โปรโมชั่นปลายหน้าร้อนกับแคมเปญ "ลุ้นรหัสรับ iPhone 5 กับน้ำดื่มสิงห์" ซึ่งถือเป็นการพลิกเกมของค่ายสิงห์ก็ว่าได้

แม้ทุกปีสิงห์จะมีแคมเปญออกมากระตุ้นตลาดกับ "ชิงทองรวยล้าน" แต่ครั้งนี้ได้พลิกกลยุทธ์ตามสมัยนิยมกับโปรโมชั่นสไตล์ "ลุ้นรหัสใต้ฝา" ที่กำลังฮอตฮิต และเริ่มระบาดไปยังสินค้าต่าง ๆ โดยมีจุดเริ่มต้นจาก "อิชิตัน" ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว

เช่นเดียวกับรางวัลที่แจกก็เปลี่ยนไปเป็น "ไอโฟน" พร้อมเลื่อนระยะเวลาจัดแคมเปญให้เร็วขึ้น จากเดิมเน้นในช่วงไตรมาส 3 เพื่อกระตุ้นยอดโลว์ซีซั่น เปลี่ยนมาเริ่มตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน-18 กรกฎาคม เพื่อออกมาชนกับบรรดาคู่แข่งทั้งคริสตัล และช้าง ที่ต่างโหมโปรโมชั่นอยู่ในขณะนี้

โดยตั้งแต่ปีที่แล้วสิงห์ได้ทุ่มงบฯลงทุนด้านฐานการผลิตเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยมีแผนขยายโรงงานน้ำดื่มอีก 2 แห่ง เริ่มก่อสร้างปลายปีที่แล้ว 1 แห่ง และปีนี้อีก 1 แห่ง ใช้งบฯลงทุนประมาณ 500-600 ล้านบาทต่อโรงงาน
ขณะที่คู่รักคู่แค้นอย่าง "เครื่องดื่มตราช้าง" ล่าสุดก็ผนึกแม็คโครเปิดตัวแคมเปญ "เครื่องดื่มตราช้างจัดเต็ม !

ลุ้นรวยทองเป็นเศรษฐี หรือลุ้นฟรีมอเตอร์ไซค์" ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ถือเป็นแคมเปญ

โปรโมชั่นครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์และกระตุ้นยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มตราช้างอย่างต่อเนื่อง

"สรกฤต ลัทธิธรรม" ผู้จัดการฝ่ายการตลาดอาวุโส บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ชี้ว่า การทำตลาดเครื่องดื่มของบริษัทมุ่งให้ความสำคัญ

กับช่องทางการค้าโมเดิร์นเทรด เพราะตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้ง

รายใหญ่และรายย่อยได้อย่างดี ครอบคลุมในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะแม็คโครซึ่งเป็นศูนย์จำหน่ายสินค้าในราคาขายส่งให้แก่ร้านโชห่วย ร้านอาหาร โรงแรม

และรีสอร์ต ซึ่งมีลูกค้าสมาชิกกว่า 2 ล้านรายจากทั่วประเทศ จึงเดินหน้าทำตลาดต่อเนื่องในช่องทางนี้

ด้าน "ปริญญา เพิ่มพานิช" ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและปฏิบัติการขาย บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ระบุว่า

ปัจจุบันตลาดน้ำดื่มเกือบทุกค่ายมีการทำคอนซูเมอร์โปรโมชั่นกันอย่างรุนแรง ซึ่งในอดีตไม่ได้เป็นเช่นนั้น ต้องยอมรับว่า "คริสตัล" เป็นคนจุดประกายในเรื่องนี้

จากปีที่แล้วที่มีการส่งโปรโมชั่น "ดื่มคริสตัลวันนี้ ลุ้นดูดีไม่ซ้ำใคร กับซูซูกิ

สวิฟท์ใหม่ 5 คัน" ออกมากระตุ้นตลาดในช่วงหน้าร้อน พบว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยในปี 2555 คริสตัลมียอดขายเติบโตสูงถึง 25%

"เราเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมแคมเปญการตลาดและส่งเสริมการขายในตลาด

น้ำดื่มที่แปลกใหม่ และไม่ซ้ำใคร ปลายปีที่แล้วก็เปิดตัวโปรโมชั่นส่งฝาคริสตัลมาลุ้นซัมซุง กาแล็คซี่ โน๊ต 2 กว่า 6 ล้านฝา เพื่อขยายกลุ่มลูกค้า ปีที่แล้วก็ได้แนะนำขนาด 1 ลิตรออกสู่ตลาดเพื่อเจาะกลุ่มช่องทางร้านอาหาร" สำหรับปีนี้คริสตัลต่อเนื่องด้วย

โปรโมชั่น หน้าร้อน "ดูดีสไตล์อิตาลีได้ทุกขวด" ส่งฝาและฉลากชิง "เวสป้า" รุ่นคริสตัล ลิมิเต็ด เอดิชั่น 30 คัน เริ่มตั้งแต่ปลายมีนาคมถึงสิ้นพฤษภาคม โดยตั้งเป้าผลักดันยอดขายคริสตัลเติบโต 25%

จากแคมเปญนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดน้ำดื่มเป็น 19% ภายในสิ้นปี และหวังขึ้นเป็นเบอร์ 1 ใน 3 ปีข้างหน้า

"เมื่อเราทำโปรโมชั่นปีที่แล้ว และประสบความสำเร็จ ก็ทำให้ทุกค่ายเห็นโอกาสตรงนี้และออกมาทำด้วย เรียกว่าตอนนี้

ถ้าใครไม่ทำก็จะกระทบ จึงเกิดปรากฏการณ์ที่ทุกค่ายออกมาเปิดทำโปรโมชั่น ซึ่งไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำในตลาดน้ำดื่ม"

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารเสริมสุขก็เชื่อว่า กลยุทธ์ชิงโชค หรือโปรโมชั่นแคมเปญสำหรับตลาดน้ำดื่มนั้น จะเป็นแค่สีสันในช่วงหน้าร้อน ไม่แพร่ระบาดและกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเหมือนกับที่เกิดขึ้น

ในตลาด "ชาเขียว" ที่พร้อมทำทุกเทศกาล

เพราะวันนี้ผลิตภัณฑ์น้ำดื่มยังคงขับเคลื่อนตลาดด้วยกลยุทธ์อื่น ๆ ผสมผสานกันไป ทั้งแพ็กเกจจิ้ง, การสร้างแบรนด์ และแคแร็กเตอร์ที่แตกต่างจากคู่แข่ง

ส่วนซัมเมอร์นี้น้ำดื่มค่ายไหนจะสามารถพิชิตศึก และเก็บเกี่ยวส่วนแบ่งตลาดได้มากกว่ากัน ต้องติดตาม

‘JUBILE’มั่นใจสิ้นปีทำรายได้ 1,500 ลบ. โค้ง2 ลุยจัดกิจกรรม CRM เต็มรูปแบบรายแรกในไทย


 ที่มา: หุ้นอินไซด์
        นางสาวอัญรัตน์ พรประกฤต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE ผู้จัดจำหน่ายและทำตลาดเพชรกะรัตและเครื่องประดับเพชรภายใต้แบรนด์ “เพชรยูบิลลี่” เปิดเผยว่า  ส่วนแผนงานในไตรมาส 2 นั้น บริษัทฯ ได้เตรียมรุกทำกิจกรรม CRM หรือการบริหารเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ซึ่งถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกในวงการค้าปลีกเครื่องประดับเพชรและเพชรกะรัตในประเทศไทยที่มีการทำ CRM เต็มรูปแบบ โดยร่วมกับพันธมิตรมอบสิทธิพิเศษให้แก่สมาชิกเพชรยูบิลลี่กว่า 120,000 ราย ซึ่งช่วยสร้างภาพลักษณ์ และทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีต่อตราสินค้าเพชรยูบิลลี่ในระยะยาวอีกด้วย
                ทั้งนี้ จากแผนงานดังกล่าว บริษัทฯ สามารถยกระดับการดูแลฐานลูกค้าเพชรยูบิลลี่ให้ดียิ่งขึ้น หลังจากที่ผ่านมา เพชรยูบิลลี่ได้ตอกย้ำด้านความเป็นผู้นำนวัตกรรมในการสร้างสรรค์สุดยอดคอลเลคชั่นเพชรที่รวบรวมความเป็นเลิศ ทั้งด้านการคัดเลือกวัตถุดิบเพชรระดับ D color การเจียระไนเพชรที่เป็นเลิศระดับ Triple Excellent และการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ถูกถ่ายทอดสู่ชิ้นงานผ่านคอลเลคชั่น The Excellence ที่ได้เปิดตัว 2 ดีไซน์ใหม่ในช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งจัดเป็นคอลเลคชั่นไฮไลต์ที่ตอบโจทย์ความเป็นเลิศด้านคุณภาพ ที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่ดีมาก
                “ในไตรมาสที่ 2 เราต้องการยกระดับการดูแลลูกค้า ด้วยการทำกิจกรรม CRM แบบเต็มรูปแบบ เพื่อมอบสิทธิพิเศษและสร้างประสบการณ์ที่ดีในด้านการดูแลทั้งก่อนและหลังการขาย ซึ่งเป็นรายแรกของวงการค้าปลีกเครื่องประดับเพชรที่มีการทำ CRM ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า จึงมั่นใจว่า จากแผนงานครั้งนี้ จะช่วยให้แบรนด์เพชรยูบิลลี่มีความแข็งแกร่ง และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานในปีนี้ ที่เชื่อว่า จะทำได้ 1,500 ล้านบาทตามเป้าที่วางไว้” นางสาวอัญรัตน์ กล่าว


   


( ธนัสสรณ์ เปี่ยมสมบูรณ์ เรียบเรียง ;โทร 02-664-4451-2 อีเมล์: reporter@hooninside.com  )






วันที่ : 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ออมสินคุยยอดเงินฝากพุ่ง พร้อมอุ้ม‘ประชานิยม’/โครงการ2ล้านล.


วันจันทร์ ที่ 06 พฤษภาคม พ.ศ. 2556, 06.00 น.
ที่มา http://www.naewna.com/business/50815
แบงก์ออมสิน โชว์หน้าตัก โดยพบว่ามียอดเงินฝากรวมอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาทมั่นใจปีนี้กำไร 2.1 หมื่นล้านบาท พร้อมสนองนโยบายรัฐ อุ้มทั้ง “ประชานิยม”/โครงการลงทุน 2 ล้านล้าน

นายธัชพล กาญจนกูล รอง ผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโสเปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาสแรกปี 2556 (มกราคม-มีนาคม 2556) พบว่าผลดำเนินงานของออมสินอยู่ในระดับที่ดีมากโดยมีกำไร 5,000 ล้านบาท หากรวมผลประกอบด้วยในเดือนเมษายน 2556 ด้วยแล้วกำไรอยู่ที่ประมาณ 5,800 ล้านบาทถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ว่าตลอดทั้งปีจะมีกำไร 2.1 หมื่นล้านบาท หรือไม่ต่ำกว่าไตรมาสละ 5,000 ล้านบาท ส่วนสินทรัพย์ของธนาคารล่าสุดอยู่ที่ 2.1ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.5 แสนล้านบาทโดยสินทรัพย์ของธนาคารเกินกว่า 2ล้านล้านบาท มาตั้งแต่เมื่อเดือนมีนาคม 2556 ที่ผ่านมา

ด้านเงินฝากนั้นล่าสุดเพิ่มขึ้นสูงกว่าเป้าหมายทั้งปีแล้ว โดยเงินฝากเพิ่มขึ้น 1.4 แสนล้านบาท ส่งผลให้เงินฝากในภาพรวมอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงปลายปี 2555 ที่อยู่ระดับ 1.67 ล้านล้านบาท เงินฝากที่เพิ่มขึ้นมาจากผลิตภัณฑ์หลัก 3 ตัว คือ ผลิตภัณฑ์เงินฝาก 101 วัน ดอกเบี้ย 3% ฉลองครบรอบ 100 ปี หมดเขตรับฝากเงินไปเมื่อ 30 เมษายน ซึ่งลูกค้าให้การตอบรับที่ดีมากมีเงินไหลเข้ามาฝากในผลิตภัณฑ์ดังกล่าวถึง 7 หมื่นล้านบาท ฝากเผื่อพิเศษมีเงินไหลเข้ามา 1.8 หมื่นล้านบาท และสลากออมสิน 100 ปี อีก 1.8 หมื่นล้านบาท

นายธัชพลกล่าวว่า ในปี 2555 ออมสินปล่อยกู้ภาครัฐอยู่ที่ 2.8 แสนล้านบาท ส่วนปี 2556 จะปล่อยกู้เพิ่มอีก 7 หมื่นล้านบาทรวมเป็นยอดปล่อยกู้ 3.5 แสนล้านบาท

นอกจากนี้ได้เตรียมระดมเงินฝากเพื่อปล่อยกู้ให้กับภาครัฐทั้งปล่อยกู้ในพ.ร.ก.กู้เงินบริหารจัดการน้ำด้วย ซึ่งล่าสุดออมสินปล่อยกู้ตามพ.ร.ก.ดังกล่าวไปแล้วกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท ส่วนการปล่อยกู้ในโครงการรับจำนำข้าวได้ปล่อยกู้ไปแล้ว 1 แสนล้านบาท ส่วนแผนปล่อยกู้ตามพ.ร.บ.กู้เงินเพื่อโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท คาดว่าน่าจะไม่น้อยกว่า 5 แสนล้านบาท

ส่วนในด้านสินเชื่อล่าสุดอยู่ที่ 1.62 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปลายปีที่ผ่านมา 4 หมื่นล้านบาท สินเชื่อเพิ่มขึ้นไม่มากเพราะในปีนี้ออมสินเปลี่ยนนโยบายการปล่อยกู้ใหม่ เน้นปล่อยกู้ภาครัฐ และรายย่อยให้มากขึ้น โดยจะชะลอการปล่อยกู้ให้กับภาคธุรกิจรายใหญ่เนื่องจากมองว่าการปล่อยสินเชื่อภาคธุรกิจรายใหญ่นั้นมีธนาคารพาณิชย์ให้บริการตรงนี้อยู่แล้วโดยเงินกู้ภาครัฐนั้นแม้ออมสินประมูลเงินกู้ได้แล้ว แต่บางส่วนยังไม่ได้เบิกจ่ายไปใช้

อย่างไรก็ตาม ในการปล่อยกู้ภาครัฐนั้นมีผลกระทบต่อผลประกอบการของออมสิน เนื่องจากดอกเบี้ยที่ได้รับจะน้อยกว่าการปล่อยกู้ภาคธุรกิจ ออมสินพยายามลดต้นทุนของเงินฝาก ล่าสุดปรับลดลงเหลือ 2.6% จากปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับ 2.8% ซึ่งวิธีการลดต้นทุนเงินฝาก อาทิ ลดเงินฝากรายใหญ่ที่มีดอกเบี้ยสูงๆ ลง และหันมารับฝากเงินจากรายย่อยแทนที่ดอกเบี้ยถูกกว่าแทน ทำให้ขณะนี้สัดส่วนเงินฝากรายใหญ่ลดลงเหลือเพียง 12% จากปลายปี 2555 อยู่ที่ 15% ส่วนเงินฝากรายย่อยปรับเพิ่มเป็น 40% จากเดิมอยู่ที่ 30% พร้อมทั้งปรับแผนการลงทุนตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นให้เพิ่มขึ้น เพราะช่วงนี้ตลาดดังกล่าวสร้างผลตอบแทนให้ออมสินถึง 35%

ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่า มีความพยายามจากฝ่ายการเมืองได้สั่งการให้แบงก์ออมสินระดมเงินฝาก เพื่อนำมาปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลในอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพราะรัฐบาลมีแผนต้องกู้เงินจำนวนมาก หลังจากรัฐบาลออกร่าง พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและยังต้องกู้จากพ.ร.ก. กู้เงินอีก 3.5 แสนล้านบาท เพื่อบริหารจัดการน้ำ ทำให้ธนาคารออมสิน ได้พยายามออกผลิตภัณฑ์ระดมเงินฝากมากขึ้น


ECF คุยออเดอร์ล้น เตรียมรุกตลาดนอก ทั้งเกาหลี-อาเซียน ส่งแบรนด์Costaลุย


วันอังคาร ที่ 07 พฤษภาคม พ.ศ. 2556, 06.00 น.
ที่มา http://www.naewna.com/business/50936

นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) (ECF) ผู้ผลิต และจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการขยายกำลังการผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ปาติเคิลบอร์ด โดยจะใช้เงินลงทุนสำหรับพัฒนาเครื่องจักรจำนวนประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งการขยายกำลังผลิตในครั้งนี้จะทำให้บริษัทมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 15% เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนความคืบหน้าล่าสุดของการขยายตลาดต่างประเทศนั้น ECF ได้ทำการลงนามในสัญญาจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์กับลูกค้าในประเทศดูไบ มูลค่ารวมประมาณ 120 ล้านบาท เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะเดียวกันยังได้มีการสำรวจตลาดและเจรจากับลูกค้าในประเทศเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ กลุ่มประเทศอาเซียน รับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เพื่อทำสัญญาการซื้อขายเฟอร์นิเจอร์ระหว่างกัน ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปในเร็วๆ นี้

ส่วนแนวโน้มผลประกอบไตรมาส 1/56 คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างเด่นชัดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการขยายตลาดอย่างต่อเนื่องในต่างประเทศ ทั้งจากฐานลูกค้าเดิมในญี่ปุ่นและตะวันออกกลางที่เพิ่มออเดอร์เข้ามา และตลาดในประเทศที่เตรียมจะขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านทางโมเดิร์นเทรดและร้านค้าทั่วประเทศมากขึ้น

“บริษัทได้ขยายตลาดร้านค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ โดยจะใช้แบรนด์ Costa ในการรุกตลาด” นายอารักษ์ กล่าว

ฮอนด้า เผยโฉมสกู๊ปปี้ไอใหม่ เคาะราคาเริ่มต้น 4.58 หมื่นบาท

วันพุธ ที่ 08 พฤษภาคม พ.ศ. 2556, 06.00 น.
ที่มา http://www.naewna.com/business/51027
 ฮอนด้า เปิดตัว “สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม” ตอกย้ำแนวคิด “ชีวิตสนุก ถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ ว้าว!” โดดเด่นด้วยลายกราฟิกซีเอ็มวายเค (CMYK) เสมือนจริงเป็นครั้งแรกของวงการรถจักรยานยนต์ไทย เคาะราคาเริ่มต้นที่ 45,800 บาท ตั้งเป้ายอดขาย 300,000 คันต่อปี

มร.จิอากิ คาโต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด เปิดเผยว่า “นับตั้งแต่ที่เราได้เปิดตัว ออลนิวสกู๊ปปี้ไอ ซ่านิยม ลงสู่ตลาดเมื่อปี 2012 รถรุ่นดังกล่าวก็ได้สร้างปรากฏการณ์ความนิยมในหมู่วัยรุ่นเป็นอย่างมาก จนสามารถทำยอดจำหน่ายได้สูงถึง 330,304 คัน ถือเป็นสถิติรถเอ.ที.แฟชั่นที่มียอดจำหน่ายต่อปีสูงสุดของเมืองไทย ล่าสุดได้ทำการเปิดตัว นิวฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม รถเอ.ที.แฟชั่นแบบโมเดิร์น เรโทรโฉมใหม่ ดีไซน์ทันสมัย เปี่ยมด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ถือเป็นความสนุกว้าวลำดับแรก ที่ฮอนด้าพร้อมนำเสนอให้กับผู้บริโภค ตามแนวคิดแบรนด์คอนเซ็ปต์ ชีวิตสนุกถ้าไม่หยุดค้นหาอะไรใหม่ๆ ว้าว! ”

นิวฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม มาพร้อมกับความซ่าตั้งแต่หน้าจรดท้าย ด้วยลวดลายที่เปี่ยมไปด้วยความสนุก มีเรื่องราวของเทรนด์แฟชั่นฤดูร้อน ถ่ายทอดลงบนตัวรถ ด้วยกราฟิกงานพิมพ์ชั้นสูง CMYK ที่ให้ความคมชัดเสมือนภาพถ่ายมากที่สุด ถือเป็นครั้งแรกในวงการรถจักรยานยนต์ไทยที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว โดยมีด้วยกัน 3 แบบ คือ ฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ Active Boy-Monkey Do!,ฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ Vivid Me-Sassy Jeans! และ ฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอPrestige Guy–Cool Gangsta!

นิวฮอนด้า สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยมมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 4 จังหวะขนาด 108 cc ระบบหัวฉีด PGM-FI มีอัตราการประหยัดน้ำมันที่สูงถึง 53 กิโลเมตร/ลิตร(จากการวัดตามมาตรฐาน สมอ. MODE ECE R40) มาตรฐานค่าไอเสียระดับ 6 และรองรับน้ำมัน E20 นอกเหนือจากนี้ ยังมีระบบความปลอดภัยที่พร้อมสรรพ ทั้งระบบSide Stand Switch ตัดการทำงานของเครื่องยนต์ทันทีเมื่อเอาขาตั้งลง, Brake LockLever ช่วยล็อกล้อขณะจอดเช่นเดียวกับเบรกมือในรถยนต์ และ Key Shutter กุญแจนิรภัยสองชั้นให้ความมั่นใจทุกครั้งที่จอดรถ

นอกจากนี้ ฮอนด้าได้แนะนำพรีเซ็นเตอร์ใหม่ “กิ๊บซี่-วนิดา เติมธนาภรณ์” ศิลปินดังจากวงเกิร์ลลี่เบอร์รี่ และ “เก่ง” จากเวทีเดอะวอยซ์ มาเสริมกองทัพพรีเซ็นเตอร์ ร่วมกับ“ไทยเทเนียม” ศิลปินแนวอเมริกันฮิปฮอป เพื่อยกระดับภาพลักษณ์ของความสนุกซ่าให้ถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเอ.พี.ฮอนด้าวางแผนจำหน่าย สกู๊ปปี้ไอ อโลฮ่า ซ่านิยม พร้อมกันทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. 2556 ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 45,800 บาท และตั้งเป้าการจำหน่ายมากถึง 300,000 คันต่อปี

ครัวสำเร็จรูปบูมเงียบหมื่นล้าน "เอสซีจี"กดราคาเจาะบ้านจัดสรร

updated: 02 พ.. 2556 เวลา 13:12:07 น.

เจาะ สินค้าไฮไลต์งานสถาปนิก"56 ผู้ผลิต-นำเข้าแข่งชิงเค้กชุดครัวสำเร็จรูป ตลาดบูมเงียบปีละหมื่นล้าน "เอสซีจี" ดัมพ์จากชุดละ 1 แสนเหลือ 5.9 หมื่นเจาะตลาดบ้านจัดสรร สองยักษ์ "แกรนด์โฮมมาร์ท-สุขภัณฑ์เซ็นเตอร์" กดราคาสู้ 

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" สำรวจบรรยากาศการจัดงานสถาปนิก"56 ระหว่าง 30 เมษายน-5 พฤษภาคม ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี พบว่าปีนี้มีสีสันของการเปิดตัวสินค้าใหม่คับคั่งกว่าทุกปี รองรับภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในช่วงบูม กลุ่มสินค้าที่น่าจับตา นอกจากการเปิดตัวกระเบื้องและสุขภัณฑ์รุ่นใหม่ ๆ แล้ว กลุ่มสินค้าผลิตภัณฑ์ชุดครัวมีการแข่งขันสูงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะสินค้าเจาะตลาดกำลังซื้อระดับกลาง-ล่าง ราคาชุดละ 50,000-60,000 บาท ซึ่งถูกลงกว่าปกติที่เคยมี ราคาชุดละ 1 แสนบาทขึ้นไป

เจาะลูกค้าคอนโดฯล้านต้น ๆ

นายธนศักดิ์ สาคริกานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สยามซานิทารีแวร์ อิสดัสทรี จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำคอตโต้ กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปีนี้ คอตโต้ให้น้ำหนักบุกตลาดชุดครัว โดยเปิดตัวครั้งแรกในงานสถาปนิก รุ่น "อินสแตนท์ คิทเช่น" หรือครัวพร้อมใช้สำเร็จรูป ผลิตจากวัสดุพาร์ทิเคิลบอร์ด เคลือบปิดผิวด้วยลามิเนตไฮกรอส ปูด้วยท็อปหินสังเคราะห์ ความยาวเคาน์เตอร์ 1.8 เมตร ราคาเริ่มต้นเพียงชุดละ 59,000 บาท

"ตลาดชุดครัวสำเร็จรูป มีแนวโน้มเติบโตทุกปี เพราะผู้บริโภคคนรุ่นใหม่นิยมติดตั้ง เพราะสะดวกและอยู่ในงบประมาณที่จับต้องได้ง่าย ล่าสุดประเมินว่าปีนี้น่าจะมีมูลค่าตลาดรวม 8,000-10,000 ล้านบาท มีอัตราเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 15%"

นายธนศักดิ์กล่าวว่า สำหรับอินสแตนท์ คิทเช่น ตั้งเป้าเจาะลูกค้าทั้งบ้านจัดสรร เพราะมีความยาวเคาน์เตอร์ 1.8 เมตร และคอตโต้ก็มีความสนใจจะเปิดตลาดชุดครัวในคอนโดฯ แต่จะต้องพัฒนาสินค้าใหม่ เพราะมีข้อจำกัดเรื่องความยาวเคาน์เตอร์จะอยู่ประมาณ 1.2 เมตร ดีมานด์หลักจะเป็นคอนโดฯ ราคาล้านต้น ๆ จุดเด่นคือติดตั้งวันเดียวเสร็จ มีทีมบริการออกแบบ-ติดตั้งรองรับได้เดือนละ 1,000 ชุด

ก่อนหน้านี้ นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เครือเอสซีจี เปิดเผยว่า เอสซีจีลงทุน 100 ล้านบาท

GHM ต่อยอดลูกค้าโครงการ

นางประไพ ทยานุวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์โฮมมาร์ท จำกัด หรือ GHM เปิดเผยว่า สนใจจะเข้ามาทำตลาดชุดครัวสำเร็จรูปมากขึ้น เดิมเน้นขายเฉพาะสินค้าแยกส่วนเป็นหลัก แต่เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางธุรกิจ ล่าสุดได้เพิ่มบริการติดตั้งแบบครบวงจร รวมทั้งปลายเดือนพฤษภาคมนี้ เตรียมส่งทีมงานบริการไปฝึกอบรมเรื่องการติดตั้งที่โรงงานผลิต ณ เมืองเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน

"ตลาดหลักของ GHM ในปัจจุบัน จะเป็นลูกค้าโครงการมีสัดส่วนถึง 70% สินค้าหลักคือกระเบื้องและสุขภัณฑ์ ดังนั้น ตลาดชุดครัวจึงจะเป็นอีกเซ็กเมนต์ที่มีโอกาสสูง บริษัทมีฐานลูกค้าโครงการอยู่ในมืออยู่แล้ว เพียงแต่ต่อยอดเพิ่มชุดครัวสำเร็จรูป โดยขายเข้าโครงการแบบยกลอต ราคาสามารถแข่งขันได้ คาดว่าเริ่มที่ประมาณชุดละ 50,000 บาทบวกลบ"

ดัมพ์ครัวจีนชุดละ 3.8 หมื่น

นางสาวอรนุช รุจิรอาภรณ์ กรรมการบริหาร บริษัท สุขภัณฑ์เซ็นเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทนำเข้าชุดครัวสำเร็จรูป "มินิ คิทเช่น" จากประเทศจีนมานำเสนอขาย จุดขายคือวัตถุดิบทำจากไม้กันน้ำ มีขนาดความยาวเคาน์เตอร์ 1.2 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร เพื่อเจาะตลาดลูกค้าโครงการคอนโดมิเนียมโดยตรง เปิดตัวในงานสถาปนิกเป็นครั้งแรก จัดแคมเปญราคาพิเศษ ชุดละ 38,000 บาท

"ถือเป็นครั้งแรกที่สุขภัณฑ์เซ็นเตอร์ทดลองทำตลาดชุดครัวสำเร็จรูปเป็นครั้งแรก แผนลงทุนขั้นต่อไปคือการเตรียมความพร้อมทีมงานบริการและติดตั้งให้กับลูกค้า ซึ่งการพักอาศัยในคอนโดฯ มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ขณะเดียวกัน ทุกห้องชุดจะต้องมีชุดครัวติดตั้งอยู่ จึงมองว่าเป็นโอกาสทางธุรกิจ และมั่นใจว่าจะแข่งขันได้ เพราะมีราคาย่อมเยากว่า อย่างน้อยราคาต่ำกว่าคู่แข่ง ชุดละ 1 หมื่นบาท ซึ่งจะทำให้เป็นตัวกระตุ้นการตัดสินใจผู้บริโภค"

รายเล็กพลิกโมเดลสู้บิ๊กวัสดุ

นางสาวอรนุชกล่าวด้วยว่า สำหรับการออกบูทงานสถาปนิกปีนี้ สุขภัณฑ์เซ็นเตอร์ได้ร่วมกับพันธมิตรธุรกิจที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายวัสดุ รวม 16 บริษัท ออกบูทในนาม "ฮาโมนี่ D" เพื่อตอบสนองกับความต้องการลูกค้าได้อย่างหลากหลายและครบวงจรมากที่สุด อาทิ กลุ่มศักดิ์สิทธิ์อัลลอย, บริษัท แอลแอนด์อีไลท์ติ้ง ฯลฯ

ทั้งนี้ รูปแบบการรวมกลุ่มเฉพาะกิจเช่นนี้ ถือเป็นโมเดลธุรกิจของผู้ประกอบการรายกลาง-รายเล็ก เพื่อเพิ่มโอกาสและความร่วมมือในทางธุรกิจ จากเดิมถ้าต่างคนต่างขายจะทำให้อำนาจต่อรองกับลูกค้ามีน้อย แต่เมื่อรวมตัวขายเป็นบิ๊กลอต ทำให้อำนาจซื้อและอำนาจต่อรองเพิ่มมากขึ้น และจะเป็นช่องทางที่สามารถแข่งขันกับผู้ผลิตและผู้นำเข้ารายใหญ่ได้

"โมเดล ธุรกิจนี้ทำให้เราสามารถนำเสนอสินค้าให้กับลูกค้าได้เทียบเท่าผู้ผลิตราย ใหญ่ในประเทศ ลูกค้าที่เดินเข้ามาเยี่ยมชมบูทสามารถช็อปวัสดุสร้างบ้านได้ 1 หลัง เพราะมีสินค้าหลายพันไอเท็ม อาทิ เหล็กก่อสร้าง ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง กระเบื้องสุขภัณฑ์ ประตู หน้าต่าง ชุดครัว ชุดเฟอร์นิเจอร์บิลต์อิน ผ้าม่าน วอลเปเปอร์ หลังคา ยูพีวีซี เป็นต้น" นางสาวอรนุชกล่าว

รับเหมาก่อสร้างวิกฤต แรงงานขาดแคลนหนัก ร้องลดขั้นตอนใช้ต่างด้าว

updated: 07 พ.. 2556 เวลา 10:45:15 น.

ปัญหาขาดแคลนแรงงานกำลังกลายเป็นวิกฤตปัญหาระดับชาติที่คุกคามภาคธุรกิจของไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ประมง เกษตรกรรม โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่การขาดแคลนแรงงาน สะท้อนออกมาจากตัวเลขการจดทะเบียนที่อยู่อาศัยใหม่ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาลดลงอย่างเห็นได้ชัด เป็นผลมาจากการขาดแคลนแรงงาน ทำให้การก่อสร้างล่าช้าไม่แล้วเสร็จตามกำหนดเวลา อย่างไรก็ตาม ในการเสวนาพิเศษเรื่อง ?วิกฤติแรงงานขาดแคลน ผลกระทบต่ออสังหาริมทรัพย์? ซึ่งทางสมาคมอาคารชุดไทย ได้สะท้อนปัญหา เพื่อหาทางออกก่อนที่จะหยั่งรากลึกจนยากจะเยียวยา 

นายอธิป พีชานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรรและนายกกิตติมศักดิ์ สมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ปัจจุบันแรงงานไทยในธุรกิจก่อสร้างไม่เพียงพอ ทำให้ผู้รับเหมาแทบทุกรายต้องใช้แรงงานต่างด้าว ซึ่งพบว่าแต่ละไซต์งานมีแรงงานที่เป็นชาวต่างด้าวมากกว่าครึ่งของแรงงานที่มีอยู่ ทำให้ประสบปัญหาด้านการสื่อสารในการสั่งงาน ต้องมีการจ้างคนเพิ่มเพื่อให้เป็นล่าม เพื่อทำให้การสื่อสารและทำงานที่ลื่นไหล

แต่ใช่ว่าแม้ว่ามีแรงงานต่างด้าวใช้แล้วปัญหาจะหมดไป เพราะยังมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาด้วย โดยเฉพาะในเรื่องระบบการนำเข้าแรงงานต่างด้าว ที่มีขั้นตอนยุ่งยาก ทำให้แรงงานในระบบที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวนั้นพบว่ากว่า 30-40% เป็นแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้จดทะเบียน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยในพม่า และการจดทะเบียนแล้วแรงงานต่างด้าวมีค่าใช้จ่าย และบางรายเมื่อได้จดทะเบียนเป็นแรงงานถูกต้องแล้วก็มักจะหนีไปหางานในที่ที่ได้รับค่าตอบแทนมากกว่า

อย่างไรก็ตามในเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานนั้น ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์หรือรับเหมาก่อสร้างจะได้รับผลกระทบมากสุด เพราะต้องมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังพื้นที่ก่อสร้าง แต่การเคลื่อนย้ายก็ไม่คล่องตัว เพราะมีข้อจำกัดเรื่องการจำกัดพื้นที่ของแรงงาน ที่หากขึ้นทะเบียนไว้เขตไหน ก็จะต้องอยู่เขตนั้นไม่สามารถข้ามเขตได้ และหากต้องทำให้ได้ก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 1,000 บาทต่อคนต่อครั้ง 

ซึ่งนอกเหนือจากเรื่องดังกล่าวแล้วยังพบปัญหาอื่นๆ ด้วย เช่นการผลัดกันเข้ามาของหน่วยงานภาครัฐ ที่จะวนเวียนเข้ามาตรวจสอบในไซต์งาน ซึ่งบางครั้งมาอย่างถูกกฎหมายแต่บางครั้งก็ไม่ ทำให้เสียเวลาในการทำงาน ส่งผลให้งานล่าช้า นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการแย่งตัวแรงงานโดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนจากไซต์งานหนึ่งไปยังอีกไซต์งานหนึ่งเพราะมีการเสนอค่าจ้างที่สูงกว่าหากไม่มีหัวหน้างานคุมอยู่ 

ไม่เฉพาะแต่แรงงานไร้ฝีมือเท่านั้นที่ขาดแคลน โฟร์แมน หัวหน้าช่าง ก็ขาดแคลนด้วยต้องจ้างวิศวกรมาทำงานด้านโฟร์แมน ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น รวมถึงแรงงานที่มีฝีมือ อย่างช่างตอกเสาเข็ม ช่างปูกระเบื้อง ทาสี ฉาบปูน ก็ประสบปัญหาขาดแคลนเช่นกัน

จากปัญหาการขาดแคลนแรงงานทำให้ผู้รับเหมาหายากขึ้น โดยปัจจุบันในการเปิดประมูลงานเพื่อคัดเลือกผู้รับเหมาในการก่อสร้างนั้นพบว่ามีผู้รับเหมามาเสนองานเพียง 1-2 รายเท่านั้น จากเดิมที่มีผู้เสนองานมากกว่า 5 ราย และต้องเสนอราคาค่าจ้างงานที่สูงขึ้น 10-20% อย่างไรก็ตาม ผู้พัฒนาโครงการพยายามปรับตัวด้วยการนำระบบก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปมาใช้ แต่ก็มีปัญหาเรื่องการยอมรับของตลาด เนื่องจากคุณภาพงานมีปัญหา จากรอยต่อชิ้นส่วนต่างๆ ที่มีกรณีน้ำรั่วซึมได้ เนื่องจากไทยเป็นเมืองร้อนชื้นฝนตกมากกว่าแถบยุโรปเจ้าของเทคโนโลยีต้นแบบ

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องนี้ทาง นายแพทย์สมเกียรติ ฉายะศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ระบุว่าความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวมาจาก การที่แรงงานไทยไม่เพียงพอ เนื่องจากโครงสร้างที่เปลี่ยนไป คนเกิดน้อยและอายุยืนขึ้น เมื่อเศรษฐกิจพัฒนาจึงไม่มีแรงงานรองรับ ความนิยมประกอบอาชีพอิสระที่มีมากขึ้น เพราะได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เช่น ขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง แผงลอย ทำให้แรงงานส่วนนี้หายไป รวมถึงมีการเคลื่อนย้ายแรงงานออกไปทำงานยังต่างประเทศเนื่องจากได้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

โดยปัจจุบันมีจำนวนผู้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวที่ถูกต้องตามกฎหมายอยู่แล้ว1.3 ล้านคน จากการสำรวจความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวอย่างไม่เป็นทางการพบว่า ผู้ประกอบการยังมีความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวเพิ่มอีก 2.1 ล้านกว่าคน มีแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนแล้วเพียง 5 แสนคน ยังเหลือความต้องการแรงงานอีกกว่า 1.5-1.6 ล้านคน ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการต้องแย่งแรงงานของผู้ประกอบการรายอื่น และหันไปใช้แรงงานที่ผิดกฎหมาย แรงงานที่ลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งทำให้มีผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายเพิ่มขึ้นและผลักดันกลับไปได้ยากอีกกว่า 7 แสนคน

และเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว กระทรวงแรงงานได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ร่วมกับ 3 ประเทศ ได้แก่ ลาว พม่า กัมพูชา เพื่อนำเข้าแรงงานอย่างถูกกฎหมาย แต่ก็มีข้อจำกัด เนื่องจากรัฐบาลลาวและกัมพูชา ไม่สนับสนุนให้แรงงานออกนอกประเทศ ดังนั้น แรงงานที่นำเข้าหลักๆ จึงมาจากพม่า แต่การที่มีแรงงานจากประเทศใดประเทศหนึ่งเข้ามามากก็จะส่งผลลบต่อประเทศ ซึ่งจะต้องสร้างสมดุลด้านแรงงานให้เกิดขึ้นไม่ใช้แรงงานจากประเทศใดประเทศหนึ่งมากเกินไป

อย่างไรก็ตามล่าสุดทางสมาคมประมง ได้เรียกร้องว่าต้องการแรงงานเพิ่ม เนื่องจากปัจจุบันแรงงานพม่า และกัมพูชา ไม่ยอมลงเรือ โดยเฉพาะประมงน้ำลึก ทำให้มีปัญหาหลอกคนไปทำงาน ปัญหาค้ามนุษย์ตามมา ล่าสุดกระทรวงแรงงานได้ทำเอ็มโอยูกับประเทศบังกลาเทศ โดยนำเข้าล็อตแรก 50,000 คน เพื่อใช้ในภาคประมงไทย รวมถึงสมาคมด้านก่อสร้างที่มีความต้องการแรงงานอยู่มาก โดยการนำเข้าตามเอ็มโอยูแรงงานจะทราบก่อนว่าจะต้องทำงานอะไร อยู่กับนายจ้างรายใด ค่าจ้างเท่าไร เพื่อป้องกันการเคลื่อนย้ายแรงงานไปที่อื่น

สำหรับปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังพื้นที่อื่นๆ นั้น ปัจจุบันนายจ้างสามารถแจ้งได้ว่าจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังพื้นที่ใดบ้างในครั้งเดียว ส่วนหากจะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไปยังพื้นที่อื่นต้องเสียค่าธรรมเนียม 1,000 บาทต่อคน/ครั้ง นั้น ทางกระทรวงมีแผนที่จะแก้ไขกฎกระทรวงเพื่อทำให้เกิดความสะดวกในภาคการก่อสร้างมากขึ้น ซึ่งต้องใช้เวลาระยะหนึ่ง

ส่วนโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงนั้น ทางกระทรวงฯได้ติดต่อไปยังกระทรวงคมนาคมเพื่อขอดูโครงการ เนื่องจากต้องการรู้ว่าแรงงานจะต้องทำงานประเภทอะไร มีความต้องการใช้คนประเภทไหน เรามีฐานข้อมูลของแรงงานที่มีฝีมือของไทยที่ไปทำงานด้านการก่อสร้างยังต่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะดึงแรงงานเหล่านี้กลับมาใช้ได้

ส่วนความกังวลว่าประเทศเพื่อนบ้านเริ่มมีการลงทุน อาทิ โครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย ที่อาจทำให้ดึงแรงงานต่างด้าวที่มีอยู่กลับประเทศ และวิศวกร แรงงานฝีมือ จะถูกดึงไปทำโครงการนั้น ภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานยังไม่ชัด อาจจะระยะ 3-5 ปีที่จะมีการดึงแรงงานกลับไป เพราะโครงการจะต้องมีการวางแผน ออกแบบ ซึ่งคนที่จะกลับไปต้องทำงานครบสัญญาแล้ว และจะต้องติดตามในระยะต่อไปว่า อินโดนีเซีย เวียดนาม ศรีลังกา มีความสนใจที่จะร่วมเอ็มโอยูแรงงานกับไทยหรือไม่ ผู้ประกอบการจะต้องมีการปรับตัวเรื่องการใช้แรงงานและมีการนำเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น เพราะต้นทุนด้านแรงงานมีแต่จะเพิ่มขึ้น

ขณะที่ พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี ผู้กับกับการฝ่ายอำนวยการ 3 กองบังคับการอำนวยการ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) กล่าวว่า ความเข้มงวดในการตรวจคนเข้าเมืองนั้นเนื่องจากปัญหาเรื่องความปลอดภัย อาชญากรรม เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าคนที่เข้ามานั้นจะมีพื้นเพอย่างไร สร้างความเสี่ยงให้กับประเทศและประชาชนคนไทย ซึ่งปัจจุบันเรามีความต้องการแรงงาน เนื่องจากมีการพัฒนาโครงการต่างๆ โดยตั้งแต่ปี 2553 ที่ผ่านมาได้มีการจัดระบบแรงงาน คือ มีการทำให้ถูกต้องตามกฎหมายระยะยาวโดยอาศัยเอ็มโอยู ส่วนแรงงานที่เคลื่อนย้ายเข้ามาแล้ว นายจ้างก็ควรจะมีการจดทะเบียนให้ถูกต้อง โดยมีการขยายเวลาขึ้นทะเบียนถึงเดือนกรกฎาคมนี้

ในความเป็นจริงแล้วระหว่างที่มีการเปิดจดทะเบียนอยู่ก็มีการเร่งนำแรงงานผิดกฎหมายเข้ามาโดยผ่านเอเยนต์ต่างๆ รีบมาสวมนายจ้างแล้วจดทะเบียน คาดว่ายังมีแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเหลือในระบบกว่าล้านคน ซึ่งบุคคลเหล่านี้อาจจะเป็นความเสี่ยงต่อเรา เป็นสิ่งที่จะต้องติดตามต่อไป และการจดทะเบียนมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงประมาณ 40,000-50,000 บาท โดยแรงงานจะต้องเป็นคนออกค่าใช้จ่ายแต่นายจ้างต้องสำรองจ่ายไปก่อนและมีขั้นตอนยุ่งยาก ดังนั้น การจดทะเบียนจะต้องมีความสะดวกและราคาถูกเพื่อให้เป็นแรงจูงใจให้แรงงานต่างด้าวเข้ามาจดทะเบียน





ที่มา มติชนรายวัน