วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

‘คิงเพาเวอร์’สนประมูลดิวตี้ฟรีอู่ตะเภา


“คิง เพาเวอร์” สนใจประมูลดิวตี้ฟรีสนามบินอู่ตะเภา มั่นใจเศรษฐกิจขยับหนุนไฮซีซันไตรมาสสุดท้ายตลาดคึกคัก พร้อมจับมือ “เดอ มงฟอร์ต” เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ  หนุนพัฒนาศักยภาพคนไทยรับยุค 4.0 
bangkokbiznews.com
นายอัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ กล่าวว่า  กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ สนใจเข้าร่วมประมูลพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ร้านค้าปลอดอากร  หรือ ดิวตี้ฟรี สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งต้องรอความชัดเจนในการเปิดประมูลและเงื่อนไข 
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเป็นไปตามเป้าหมาย คาดว่าทิศทางครึ่งปีหลังธุรกิจจะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายเป็นไฮซีซันและ คิง เพาเวอร์ รางน้ำ โฉมใหม่พร้อมเปิดให้บริการ
พร้อมกันนี้ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ได้มีความร่วมมือกับ มหาวิทยาลัย เดอ มงฟอร์ต เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่มีความเชี่ยวชาญ ทางด้านการศึกษา หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิตที่เน้นด้านการบริหารจัดการธุรกิจ และหลักสูตรการออกแบบ ดีไซน์  เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาศักยภาพทางการศึกษาของคนไทยได้เรียนรู้และสัมผัสประสบการณ์ใหม่ในต่างแดน สามารถนำความรู้มาพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมั่นคงสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งส่งเสริมพลังของคนไทยให้ก้าวไกลสู่เวทีระดับโลก ผ่านโครงการทุนการศึกษาแก่คนไทยศึกษาต่อระดับปริญญาโท เป็นเวลา 1 ปี รวม 10 ทุน
“ไทยมีนโยบายพัฒนาประเทศไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 มุ่งเน้นความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน เตรียมพร้อมแสดงศักยภาพในทุกมิติท่ามกลางประชาคมโลก โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรด้านต่างๆ ให้มีศักยภาพทัดเทียมนานาประเทศ การส่งเสริมให้บุคลากรมีความรู้ ความสามารถและทักษะ เพื่อนำพาประเทศไทยเดินหน้าไปได้ในทุกมิติจึงเป็นเรื่องสำคัญ”
 นายเจมส์ การ์ดเนอร์ รองอธิการบดีฝ่ายความร่วมมือด้านกลยุทธ์และพันธมิตรระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัย เดอ มงฟอร์ต (DMU) กล่าวว่า การที่มหาวิทยาลัยมีนักศึกษาจากหลายประเทศมาเรียนร่วมกันทำให้ได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน ต่อยอดการสร้างเครือข่ายพันธมิตรต่อไปในอนาคตได้อีกด้วย
ปัจจุบันมหาวิทยาลัยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทย โดยมีนักศึกษาไทยประมาณ 50 คน ศึกษาในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา คาดว่าอนาคตจะมีจำนวนมากขึ้น 

LHBANK รับเงินเพิ่มทุน-ควงพันธมิตรยกระดับ 3 ธุรกิจ

LHBANK รับเงินเพิ่มทุน-ควงพันธมิตรยกระดับ 3 ธุรกิจ

ที่มา:www.manager.co.th
แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHBANK แจ้งว่า บริษัทได้รับเงินค่าหุ้นเพิ่มทุนจาก CTBC BANK จำนวน 16,599 ล้านบาท เพื่อชำระค่าหุ้น จำนวน 7,544,961,342 หุ้น หรือคิดเป็นร้อยละ 35.617 หนุนฐานเงินทุนแบงก์โตกว่าเท่าตัว ขยับขึ้นมาแตะระดับ 40,000 ล้านบาท และเงินกองทุนรวมเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 23.7 ซึ่งเป็นอัตราเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง

นางศศิธร พงศธร (ฉัตรศิริวิชัยกุล) กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHBANK เปิดเผยว่า ตามที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2560 ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติการออก และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 7,544,961,342 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท เพื่อเสนอขายต่อ CTBC Bank อันเป็นการเสนอขายต่อบุคคลในวงจำกัด (Private Placement) ในราคา 2.20 บาทต่อหุ้น เป็นเงินจำนวน 16,598,914,952.40 บาทนั้น เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2560 บริษัทได้รับเงินค่าหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าวจาก CTBC Bank เรียบร้อยแล้ว ซึ่งภายหลังการเพิ่มทุนทำให้ CTBC BANK เข้ามาถือหุ้นของบริษัทสัดส่วนร้อยละ 35.617 ของทุนจดทะเบียนชำระแล้ว ซึ่งเป็นสัดส่วนเท่ากับการถือหุ้นรวมกันของ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH จำนวนร้อยละ 21.879 และ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH จำนวนร้อยละ 13.738
ทั้งนี้ หลังจากนี้บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการเพิ่มทุนดังกล่าวมาเพิ่มทุนในธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งจะทำให้ฐานเงินกองทุนของธนาคารเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว หรือเท่ากับประมาณ 40,000 ล้านบาท และมีอัตราส่วนเงินกองทุนรวมอยู่ที่ร้อยละ 23.7 มีอัตราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 หรือ Common Equity Tier 1 อยู่ที่ร้อยละ 20.3 ซึ่งการร่วมเป็นพันธมิตรกับ CTBC Bank เพื่อรองรับการเติบโต การขยายธุรกิจต่างประเทศ และเป็นการยกระดับการให้บริการทางการเงินด้วยความเชี่ยวชาญทางด้านการบริหารการเงินส่วนบุคคล (Wealth Management) ด้านดิจิตอลแบงกิ้ง (Digital Banking) และด้านเทรดไฟแนนซ์ (Trade Finance) ของ CTBC Bank ผ่านกลุ่มการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ได้แก่ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน), ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด

กรุงศรีฯรับลดดอกเบี้ยบัตรคาดรายได้หดร้อยละ10



กรุงศรีฯรับลดดอกเบี้ยบัตรคาดรายได้หดร้อยละ10

     ที่มา: www.manager.co.th
  กรุงศรี คอนซูมเมอร์ขานรับมาตรการคุมบัตรเครดิต-สินเชื่อบุคคล ชี้เป็นผลดีในระยะยาว แต่ก็ส่งผลต่อรายได้ดอกเบี้ยของธุรกิจบัตรเครดิต เบื้องต้นคาดว่าลด 10% พร้อมทบทวนเป้าหมายบัตรใหม่ปีนี้ ขณะที่สินเชื่อบุคคลรับผลกระทบชัดเจนไตรมาส 4 

นายฐากร ปิยะพันธ์ ประธานกรรม กรุงศรี คอนซูมเมอร์ ในฐานะประธานชมรมธุรกิจบัตรเครดิต กล่าวว่า ผลกระทบจากการออกมาตรการควบคุมบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลนั้น ในส่วนของบัตรเครดิตหลักๆจะเป็นเรื่องกรณีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 20% เป็น 18% ก็จะทำให้รายได้จากดอกเบี้ยลดลง โดยภาพรวมของระบบแล้วสัดส่วบัตรเครดิตที่ชำระขั้นต่ำมีประมาณ 60% และชำระเต็มจำนวน 40% ขณะที่สัดส่วนชำระขั้นต่ำของบริษัทอยู่ที่ 65% ส่วนเกณฑ์การลดวงเงินสินเชื่อของลูกค้าที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนนั้น ลูกค้ากลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนของนอนแบงก์

"เกณฑ์ใหม่ที่ออกมานั้น ก็ต้องยอมรับว่าเป็นส่งผลกระทบต่อทั้งในส่วนของบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล แต่ก็เป็นความหวังดีของแบงก์ชาติที่ต้องการดูแลในเรื่องของวินัยทางการเงิน โดยเฉพาะในกลุ่มของ Gen y ที่มีปริมาณหนี้และเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็ว ซึ่งมาตรการต่างๆเหล่านี้ในที่สุดแล้วก็จะย้อนกลับมาส่งผลดีต่อเอ็นพีแอลของระบบที่จะลดลงเอง แต่อันนี้เป็นเรื่องระยะยาว แต่โดยภาพรวมของทั้งระบบแล้วเราก็ได้ชี้แจงข้อมูลต่างๆไปแล้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าในส่วนของบัตรเครดิตนั้น จำนวนเฉลี่ยผู้ถือบัตร 1 คนต่อบัตรเครดิต 2.6 ใบ การใช้จ่ายผ่านบัตรสูงสุด 5 อันดับเป็น เรื่องของประกัน ท่องเที่ยว บ้าน-เครื่องตกแต่ง แก๊ส และโรงพยาบาล ถือเป็นการใช้ในหมวดที่ไม่ใช่ของใช้ฟุ่มเฟื่อย ขณะที่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ถือว่าเป็นการแบ่งเบาภาระให้ผู้ถือไป พร้อมกันนั้น ทางสมาชิกก็จะมีการให้ความรู้กับประชาชนในเรื่องของวินัยทางการเงินเพื่อช่วยอีกทางหนึ่งด้วย"

อย่างไรก็ตาม หากประเมินคร่าวๆแล้วคาดว่าเกณฑ์ดังกล่าวจะกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยทั้งระบบ 10% จากปัจจุบันลูกค้าบัตรเครดิตในระบบอยู่ที่ 20.1 ล้านบัญชี มียอดสินเชื่อคงค้าง 360,000 ล้านบาท ขณะที่สินเชื่อบุคคล 12.2 ล้านบัญชี และ มียอดสินเชื่อคงค้าง 333,000 ล้านบาท โดยรวมคิดเป็น 6% ของหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับ 78.6% ของจีดีพี เทียบหนี้ในส่วนของที่อยู่อาศัยและลีสซิ่งที่มีสัดส่วนกว่า 50%ของหนี้ครัวเรือน

สำหรับกรุงศรี คอนซูมเมอร์นั้น ในช่วง 7 เดือนแรกของปี ถือว่ายังไม่เป็นไปตามเป้าหมายนัก มีจำนวนลูกค้าใหม่ทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล 450,000 บัญชี เป็นบัตรเครดิต 260,000 บัญชี สินเชื่อบุคคล 190,000 บัญชี จากเป้าหมายทั้งปีที่ 890,000 บัญชี ซึ่งคาดว่าจะต่ำกว่าเดิม 20% เหลือประมาณ 700,000 บัญชี จากฐานบัตรรวมที่ 3,650,000 บัญชี โดยมีสาเหตุจากหลายปัจจัยทั้งเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย เกณฑ์ใหม่ของธปท.ที่ออกมา ขณะเดียวกันก็เป็นแนวนโยบายของเราเองที่อยากจะชะลอการเติบโตในบางกลุ่ม ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPLของบัตรเครดิตปัจจุบันอยู่ที่ 1.35% จากระบบที่อยู่ 2.9% ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคลอยู่ที่ 3.13% ในขณะที่ระบบอยู่ที่ 3.5%

นายฐากรกล่าวอีกว่า การดำเนินธุรกิจต่อไป เราก็จะต้องมีการปรับตัวเช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่นๆ แต่ก็จะยังมีการทำกิจกรรมทางการตลาดต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นยอดใช้จ่าย โดยจะเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มมากขึ้น อาทิ กลุ่มที่ยังมีการใช้จ่ายสูง เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ต้องชะลอในบางกลุ่มลง เพื่อให้สอดคล้องกับเกณฑ์ใหม่ของธปท.ด้วย

เดินหน้าทำนาโนไฟแนนซ์ต่อ
       ด้านนางสาวณญาณี เผือกขำ กรรมการผู้จัดการ บริษัทอยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ในฐานะประธานชมรมสินเชื่อส่วนบุคคล กล่าวว่า ปัจจุบันจากบัญชีสินเชื่อบุคคลรวมของบริษัทเป็นส่วนที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือนอยู่ถึง 80% ซึ่งในส่วนของลูกค้าเก่าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการลดวงเงิน แต่จะเป็นส่วนของลูกค้าที่เข้ามาใหม่แต่กว่าจะเห็นผลกระทบชัดเจนก็คงจะเป็นช่วงไตรมาส 4 และบริษัทก็ยังคงเกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อเดิมอยู่

ส่วนธุรกิจนาโนไฟแนนซ์หรือผลิตภัณฑ์ "เถ้าแก่ทันใจ" ที่บริษัทเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนก.ย.ปี 2559 ถึงปัจจุบันมีสินเชื่อปล่อยใหม่แล้ว 28 ล้านบาท คิดเป็นจำนวนราย 750 ราย เฉลี่ยรายละ 38,000 บาท ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะทำได้ 40 ล้านบาท หรือ 1,000 บัญชี ขณะที่ NPL อยู่ที่ 7% และบริษัทก็มีแนวทางที่จะดำเนินต่อเนื่องไปในเฟส 2 ที่จะให้ผู้ประกอบการสามารถซื้ออุปกรณ์สำหรับประกอบอาชีพได้ในรูปแบบของเงินผ่อน ซึ่งถือว่ายังเป็นช่วงทดลองของธุรกิจนาโนไฟแนนซ์อยู่

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

TRUBB ลงทุน 200 ล้าน ร่วมตั้งบริษัทร่วมทุนยางพาราไทย

TRUBB ลงทุน 200 ล้าน ร่วมตั้งบริษัทร่วมทุนยางพาราไทย

manager.co.th
 บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ ตลท. ภายหลังการประชุมร่วมกับการยางแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหน่วยงานภาครัฐ ผู้ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์ยางพารารายใหญ่ 5 บริษัท ประกอบด้วยบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA, บริษัท วงศ์บัณฑิต จำกัด, บริษัท เซาท์แลนด์รับเบอร์ จำกัด, และ บมจ. ไทยฮั้วยางพารา เพื่อการกำหนดมาตรการขับเคลื่อนการสร้างเสถียรภาพราคายาง ได้มีข้อตกลงร่วมกันในการจัดตั้งบริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด ทุนจดทะเบียน 1,200 ล้านบาท

บริษัทจึงได้เข้าร่วมลงทุนในบริษัทดังกล่าว มูลค่า 200 ล้านบาท ถือเป็นสัดส่วน 16.67% และได้ชำระค่าหุ้น 25% ก่อนการจัดตั้งบริษัท โดยใช้การโอนเงินเข้าบัญชีการยางแห่งประเทศไทย เพื่อทำการโอนต่อไปให้กับบริษัทร่วมทุนดังกล่าวที่มีการจัดตั้งอยู่ ทั้งนี้ทางบริษัท ร่วมทุนยางพาราไทย จำกัด จะเรียกชำระค่าหุ้นส่วนที่เหลือในลำดับถัดไป
TRUBB ลงทุน 200 ล้าน ร่วมตั้งบริษัทร่วมทุนยางพาราไทย

เอ็น.ดี.รับเบอร์ ลุยตลาด REM ในประเทศเต็มเหนี่ยว

เอ็น.ดี.รับเบอร์ ลุยตลาด REM ในประเทศเต็มเหนี่ยว


manager
เอ็น.ดี.รับเบอร์ ลุยตลาด REM ในประเทศเต็มเหนี่ยว         เอ็น.ดี.รับเบอร์ กางแผนธุรกิจในครึ่งปีหลัง ลุยตลาด REM ในประเทศเต็มเหนี่ยว เตรียมเพิ่มขนาด-ลายดอกยางครอบคลุมรถรุ่นใหม่ ๆ รองรับดีมานด์ผู้บริโภค พร้อมจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด กระตุ้นยอดขาย ดันรายได้ปี 60 โตต่อเนื่อง

นายชัยสิทธิ์ สัมฤทธิวณิชชา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ดี.รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NDR เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 2560 บริษัทฯ จะมุ่งเน้นการขยายตลาดยางรถจักรยานยนต์ทดแทน (REM) ภายในประเทศ โดยการเพิ่มขนาด และลายดอกยางเพื่อให้ครอบคลุมรถรุ่นใหม่ ๆ รองรับความต้องการของผู้บริโภค ส่วนตลาดต่างประเทศที่ประเทศอินเดีย ปัจจุบันอยู่ระหว่างทดสอบสินค้า คาดว่า 1-2 เดือนน่าจะได้ข้อสรุป ขณะที่ตลาดมาเลเซียคาดทรงตัวจากปีก่อน โดยตั้งเป้าปีนี้สัดส่วนรายได้จากในประเทศ และต่างประเทศ จะอยู่ที่ 40:60 จากปีก่อนที่มีสัดส่วน 50:50

“แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่าจะมีกำไรดีกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนการผลิตในครึ่งปีหลังคาดว่าจะต่ำลง ขณะเดียวกัน ยังมีการจัดกิจกรรมการตลาด กระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าจะทำให้ยอดขายตลาด REM ของเราเติบโตขึ้นในระยะยาว” นายชัยสิทธิ์ กล่าว

ล่าสุด บริษัทฯได้เปิดตัวแอปพลิเคชัน “NDR” เพื่อพัฒนาและอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรมแคมเปญผ่านช่องทางออนไลน์แก่ช่างซ่อมยุคใหม่ ภายใต้ชื่อแคมเปญ “โชค ช่วย ช่าง” โดยการมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าให้ได้ร่วมสนุกจากการสะสมแต้ม เพื่อรับคะแนนจากการซื้อผลิตภัณฑ์ ND RUBBER นำไปใช้สิทธิแลกรับเงินคืนผ่านทางระบบพร้อมเพย์ หรือเติมเงินมือถือได้จากทุกค่าย สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์ได้จากร้านค้าตัวแทนจำหน่ายทุกจังหวัดทั่วประเทศ รวมทั้งยังสามารถรับข้อมูลข่าวสาร และข้อมูลผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ จาก ND RUBBER ได้ทุกช่องทางออนไลน์อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและกระตุ้นให้ร้านช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ โดยเฉพาะช่างซ่อมยุคใหม่ได้รับโปรโมชันพิเศษผ่านการใช้ช่องทางออนไลน์ได้อย่างเกิดประโยชน์ และสะดวกสบาย สามารถดาวน์โหลด และติดตั้งแอปพลิเคชัน “NDR” ได้ผ่านทางมือถือ ทั้งในระบบ Android และ IOS ได้แล้ววันนี้ที่ Play store และ App Store

เอเพ็กซ์ฯ ลุย 9 โครงการมูลค่า 1.38 หมื่น ล.-หลังปรับโครงสร้างทุน

เอเพ็กซ์ฯ ลุย 9 โครงการมูลค่า 1.38 หมื่น ล.-หลังปรับโครงสร้างทุน
manager
เอเพ็กซ์ฯ ลุย 9 โครงการมูลค่า 1.38 หมื่น ล.-หลังปรับโครงสร้างทุน         เอเพ็กซ์ฯ พร้อมผงาดยืนแถวหน้าวงการอสังหาฯ หลังปรับโครงสร้างทุน และเงินเสร็จเรียบร้อย “พงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์” เผยมี 9 โครงการในมือมูลค่า 1.38 หมื่นล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเกือบ 400% โดยจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2560-2562 ระบุจากนี้ APX คือ หุ้นน้ำดีที่น่าจับตา มีรายได้และกำไรต่อเนื่อง สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น 

นายพงษ์พันธ์ สัมภวคุปต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเพ็กซ์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (APX) เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทฯ ได้ปรับโครงสร้างด้านฐานทุน และฐานทางการเงินครั้งใหม่ ทั้งการเพิ่มทุนจดทะเบียนใหม่เพื่อจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) ในสัดส่วน 3 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ และออกวอร์แรนต์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัท (APX-W1) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมที่ได้จองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนในอัตราส่วน 2 หุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ต่อ 1 วอร์แรนต์ รวมถึงการลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสม และเตรียมจะออก และเสนอขายหุ้นกู้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีฐานะทางการเงิน และทุนที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

บริษัทฯ จะนำเงินที่ได้ไปลงทุนตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ซึ่งแผนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในช่วง 3 ปีข้างหน้า (ปี 2560-2562) เอเพ็กซ์ฯ จะพัฒนาโครงการไปในทำเลที่ตั้งอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวในประเทศไทย อาทิ กรุงเทพฯ ภูเก็ต และพัทยา รวมทั้งสิ้น 9 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 13,830 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 394% ประกอบด้วยโรงแรม เรสซิเด้นซ์ และศูนย์การค้า โดยมั่นใจว่าจะสามารถรับรู้รายได้จากผลประกอบการทั้งหมดภายใน 3 ปีโดยประมาณ ซึ่งจะสร้างความมั่นคง และผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น

ในปี 2560 เอเพ็กซ์ฯ มีแผนพัฒนาโครงการจำนวนทั้งสิ้น 5 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 8,580 ล้านบาท ได้แก่ 1) โรงแรม Sheraton Phuket Grand Bay Resort จำนวน 183 ห้องพัก 2) อาคารชุด The Residences at Sheraton Grand Bay จำนวน 101 วิลล่า 3) โรงแรม Four Points by Sheraton Pattaya 306 ห้องพัก 4) โรงแรมในเครือ Accor Phuket Mai Kao Beach Resort จำนวน 150 ห้องพัก และ 5) อาคารชุด The Residences at Mai Kao Beach Resort จำนวน 96 วิลลา

ส่วนปี 2561 มีแผนพัฒนาเพิ่มอีก 4 โครงการ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,250 ล้านบาท คือ 1) โครงการโรงแรมในเครือ Marriott จำนวน 210 ห้องพักที่ริมหาดป่าตอง 2) ศูนย์การค้าหรู Andaman Plaza ริมหาดป่าตอง 3) โครงการคอนโดเทล Jomtien Beach Residences พัทยา, จำนวน 347 ห้องชุด 4) โครงการคอนโดเทล จำนวนประมาณ 350 ห้องชุด ย่านสุขุมวิท

“แผนดำเนินโครงการทั้ง 9 โครงการ กำหนดแล้วเสร็จภายใน 3 ปี ทำให้คาดว่า รายได้ปี 2561 และปี 2562 จะดีกว่าในปี 2560 เป็นอย่างมาก และจากการลดพาร์เพื่อล้างขาดทุนสะสมของบริษัทฯ ในปีนี้ ทำให้คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินปันผลได้ภายในปี 2561 ซึ่งตามนโยบายอยู่ที่ไม่เกินร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิ” นายพงษ์พันธ์ กล่าว

“เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น” ขายทิ้งธุรกิจการศึกษา-อสังหาฯ เต็มสูบ


“เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น” ขายทิ้งธุรกิจการศึกษา-อสังหาฯ เต็มสูบ

ที่มา www.manager.co.th
ดร.จิรศักดิ์ จิยะจันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WORLD) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2560 ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติให้บริษัทฯ ขายธุรกิจการศึกษาทั้งหมดออกไปทั้งในส่วนของมหาวิทยาลัยเวสเทิร์น และธุรกิจที่เกี่ยวข้อง คิดเป็นมูลค่ารวม 1,730 ล้านบาท โดยการอนุมัติในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทฯสามารถเดินหน้าธุรกิจการเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ก่อนกลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ก่อนที่บอร์ดบริหารจะมีมติอนุมัติให้บริษัทฯ เดินหน้าทำธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เต็มตัว และให้ขายธุรกิจในส่วนของการศึกษาออกไปทั้งหมด บริษัทฯ ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ และความยั่งยืนของธุรกิจอย่างรอบคอบจนมั่นใจว่านี่คือ ทางเดินที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นหนึ่งในธุรกิจเริ่มต้นของ บมจ. เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น ซึ่งได้ผ่านการพัฒนาองค์ความรู้ และความชำนาญ มาพร้อมกันกับธุรกิจการศึกษา” ดร.จิรศักดิ์ กล่าว

ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา บริษัท เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์แอสเซท จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ WORLD ได้เดินหน้าทำธุรกิจการเป็นผู้อสังหาริมทรัพย์ไปก่อนแล้ว โดยการเข้าไปซื้อโครงการ คอนโดฯ หรูทำเลทองที่จังหวัดภูเก็ต มูลค่า 750 ล้านบาท ซึ่งจนถึงปัจจุบันสามารถรับรู้รายได้เข้ามาแล้วกว่า 400 ล้านบาท และในปีนี้ บริษัท เวิลด์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์แอสเซท จำกัด ยังได้เข้าไปซื้อโครงการคอนโดมีเนียม IB Grand Hatyai ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จำนวน 3 โครงการ รวมมูลค่า 933 ล้านบาท ซึ่งทั้งสามโครงการจะเริ่มรับรู้รายได้ในเดือนธันวาคม 2560 และจะสามารถรับรู้รายได้เต็มตัวในปี 2561 ที่จะถึงนี้

ล่าสุด เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น ได้มีมติในการเข้าถือหุ้นเต็ม 100% ในบริษัท ไทย บอนเนต เทรดดิ้ง โซน จำกัด ผู้ถือใบอนุญาตนิคมอุตสาหกรรมบางปูเหนือ จังหวัดสมุทรปราการ มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท และยังได้เข้าไปถือหุ้น บริษัท ซับเบิร์บ เอสเต็ท จำกัด ผู้ถือใบอนุญาตนิคมอุตสาหกรรมภาคเหนือ (ลำพูน 2) มูลค่าโครงการประมาณ 2,500 ล้านบาท ในสัดส่วน 100% และในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมเปิดตัวโครงการทาว์นโฮมสุดหรูบนทำเลทองย่านสาธร มูลค่าโครงการกว่า 1,000 ล้านบาทอีกด้วย

“เชื่อว่า ในระยะเวลา 5 ปี จากนี้ไป WORLD จะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในบริษัทผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่โดดเด่นได้อย่างแน่นอน แม้ว่าธุรกิจการเป็นผู้พัฒนาฯ อาจเป็นโจทย์ที่ยากมากสำหรับบริษัทอื่น ๆ แต่สำหรับ WORLD การใช้กลยุทธ์ในการวิเคราะห์ และคัดเลือก เพื่อการเข้าไปต่อยอดความสำเร็จของโครงการที่ได้เดินหน้าไปแล้ว หรือเข้าไปการลงทุนในโครงการใหม่ ๆ ถือว่าเป็นความชำนาญพิเศษของบริษัทฯ

ขณะเดียวกัน ยังมี Backlog มูลค่ารวมกันกว่า 6,500 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึงปี 2563 จากรายได้ที่เริ่มรับรู้เข้ามาจากโครงการอสังหาฯ ของบริษัทฯ ที่มีอยู่แล้ว รวมไปถึงการที่บริษัทฯ มีเงินสดที่ได้จากการขายธุรกิจการศึกษาจำนวนกว่า 1,730 ล้านบาท เตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับการลงทุนกับโครงการดี ๆ ในอนาคต เพื่อผลักดันธุรกิจให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน” ดร.จิรศักดิ์ กล่าว

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เผยโฉม Surface Pro ใหม่


วันที่ 24 กรกฎาคม 2560 - 20:17 น.

ที่มา matichon.co.th
ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เผยโฉม Surface Pro ใหม่ พร้อมให้สั่งจองเพื่อเป็นเจ้าของแล็ปท็อปที่มากความสามารถที่สุดในโลกได้แล้ววันนี้สำหรับลูกค้าทั่วไปและภาคธุรกิจ จองได้ที่ตัวแทนจำหน่ายชั้นนำทั่วประเทศและบนไมโครซอฟท์สโตร์
กรุงเทพฯ , 24 กรกฎาคม 2560 – ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ประกาศวางจำหน่าย Surface Pro ใหม่ และ Surface Pro Signature Type Cover แล้วที่ไมโครซอฟท์สโตร์ที่ www.microsoft.com/th-th/store และตัวแทนจำหน่ายชั้นนำ ได้แก่ ไอที ซีตี้ บานาน่า ไอที พาวเวอร์ บาย และลาซาด้า และสำหรับลูกค้าภาคธุรกิจที่ บริษัท แอดอิน บิซิเนส จำกัด  โดยเปิดให้จองแล้วตั้งแต่วันนี้ ในราคาเริ่มต้นที่ 30,900 บาท ก่อนจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 สิงหาคม 2560
Surface Pro ใหม่ เปิดตัวสู่ตลาดไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยได้รับการออกแบบใหม่จากภายในสู่ภายนอก เพื่อประสิทธิภาพที่สูงขึ้น และยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้ยาวนานกว่า ทุกๆ ส่วนถูกปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยและประณีต ตั้งแต่ขอบที่โค้งมน ไปจนถึงกล้องบิลท์อินที่กลมกลืนไปกับตัวเครื่อง Surface Pro ใหม่มีความบางเพียง 8.5 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเริ่มต้นเพียง 767 กรัม[1] พร้อมบรรจุชิปประมวลผลอินเทล® คอร์™ รุ่นที่ 7 ด้วยดีไซน์ไร้พัดลม[2] จึงทำให้การทำงานเงียบสนิท
Surface Pro ใหม่เป็นแล็ปท็อปที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุด และแบตเตอรี่ใช้งานได้ต่อเนื่องยาวนานที่สุด รูปลักษณ์บาง น้ำหนักเบา และทำงานได้อย่างเงียบกริบ ทั้งยังมีการพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยพลังแบตเตอรี่ที่ใช้งานได้นานถึง 13.5 ชั่วโมง[3] ส่งผลให้มีสมรรถนะสูงกว่า Surface Pro 3 กว่า 2.5 เท่า ตอบโจทย์การใช้งานเอนกประสงค์และโมบิลิตี้ ด้วยการออกแบบให้บางเบาและประณีตยิ่งขึ้น
“ด้วย Surface Pro เราได้สร้างแล็ปท็อปรูปแบบใหม่ ที่ฉีกกฎแล็ปท็อปแบบเดิมๆ ออกมา” คุณทาเทียน่า มารัชเชฟสกาย่า ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกครั้ง นับตั้งแต่ที่เราเริ่มขยายตลาดมาอย่างต่อเนื่อง สร้างสรรค์นิยามใหม่ของสุดยอดแห่งแล็ปท็อปกับ Surface Book และทำให้แล็ปท็อปแบบคลาสสิคกลับมาสดใสอีกครั้งด้วย Surface Laptop และการเปิดตัว Surface Pro ใหม่ในครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกครั้งที่เราพัฒนารูปแบบของแล็ปท็อปให้ล้ำหน้าขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการรวมความสามารถที่หลากหลายของแล็ปท็อปอันทรงพลัง และสตูดิโอสร้างผลงานแบบเคลื่อนที่ มาไว้ในอุปกรณ์ที่ทั้งบางและเบาในหนึ่งเดียว”
Surface Pro ไม่ใช่แค่แล็ปท็อปที่ทรงพลัง แต่ยังเป็นสตูดิโอสร้างสรรค์ผลงานแบบเคลื่อนที่ ด้วยจอสัมผัสPixelSense™ ขนาด 12.3 นิ้ว ที่รองรับการใช้งาน Surface Pen[4] ใหม่ที่เร็วขึ้นอย่างไม่เคยมีมาก่อนSurface Pro ใหม่นำรูปแบบการสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงผลแบบเสมือนจริง (immersive) แบบเดียวกับSurface Studio ในรูปแบบที่สามารถพกพาไปที่ไหนก็ได้ ด้วยบานพับใหม่ที่ปรับเอนได้ถึง 165 องศา ผู้ใช้จึงสามารถใช้ Surface Pro ในโหมด Studio ได้ทันที ทำให้ได้ตำแหน่งที่เหมาะสมในการเขียนหรือวาดภาพ นอกจากนี้ การใช้ Inking ในแอปพลิเคชั่นต่างๆ บน Windows 10 และ Microsoft Office 365 ซึ่งรวมถึงแอป Microsoft Whiteboard ใหม่ จะทำให้ผู้ใช้สามารถรังสรรค์ผลงานจากหมึกดิจิทัล รวมถึงทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับ Surface Pro Signature Type Cover ใหม่นั้นมีกลไกพิเศษแบบขากรรไกรคุณภาพสูงพร้อมระยะจังหวะการพิมพ์ 1.3 มิลลิเมตร ทำให้การพิมพ์รวดเร็วและแม่นยำขึ้น ส่วนแทร็กแพดที่เป็นกระจกทั้งแผ่นและรองรับการใช้งานนิ้วมือทั้ง 5 นิ้วได้นั้นยังรองรับการใช้งานได้อย่างแม่นยำที่สุด ขณะที่คีย์บอร์ดทั้งหมดถูกหุ้มไว้ด้วยวัสดุที่ทั้งนุ่มและทนทานของ Alcantara® ทำให้มีที่รองมือซึ่งนุ่มสบายและสวยงาม โดย Surface Pro Signature Type Cover มีให้เลือกสองสี ได้แก่ สีดำและสีแพลทินัม
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.microsoft.com/th-th/surface
ราคา
ผลิตภัณฑ์ราคา (บาท)
Surface Pro
Intel® Core™ m3, 128 GB SSD, 4GB RAM, Intel® HD Graphics 61530,900
Intel® Core™ i5, 128 GB SSD, 4GB RAM, Intel® HD Graphics 62038,900
Intel® Core™ i5, 256 GB SSD, 8GB RAM, Intel® HD Graphics 62049,900
Intel® Core™ i7, 256 GB SSD, 8GB RAM, Intel® IrisTM Plus Graphics 64059,900
Intel® Core™ i7, 512 GB SSD, 16GB RAM, Intel® IrisTM Plus Graphics 64082,900
Intel® Core™ i7, 1TB SSD, 16GB RAM, Intel® IrisTM Plus Graphics 640101,900
อุปกรณ์เสริม
Surface Pro Type Cover (สีดำและสีแพลทินัม)5,190
Surface Pro Signature Type Cover (สีดำและสีแพลทินัม)6,390
Surface Pen (สีดำและสีแพลทินัม)3,900
Measure
Measure

3 ปี วิบากกรรมทีวีดิจิทัล

3 ปี วิบากกรรมทีวีดิจิทัล

3 ปี วิบากกรรมทีวีดิจิทัล


ที่มา nationtv
อุตสาหกรรมทีวีดิจิทัล ผลประกอบการ 3 ปี นอกจากรายได้รวมไม่เพิ่ม แต่แนวโน้มขาดทุนเพิ่ม ลองเอาตารางรายได้ และผลกำไร-ขาดทุนของ 22 ช่อง มารวม 3 ปีนับจากเริ่มดำเนินการทีวีดิจิทัล ในเดือนเมษายนปี 2557-2559 มีประเด็นหลักๆ เป็นข้อสังเกตุ เพื่อประกอบการมองอนาคตแนวทางแก้ไข
1.กลุ่มช่องข่าว : รายได้รวม 3 ปีไม่เพิ่ม นิ่งสนิท
-แนวโน้มรายได้รวม 6 ช่องไม่เพิ่มขึ้นเลย ปี 2557 1,409 ล้านบาท, ปี 2558 1,488 ล้านบาท และปี 2559 1,408 ล้านบาท รวม 3 ปี 4,305 ล้านบาท เฉลี่ยแล้วช่องข่าวมีรายได้ต่อข่องประมาณ 300 ล้านบาทต่อช่องต่อปี
-ผลขาดทุนรวมยังเกินกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี รวม 3 ปี 3,896 ล้านบาท เท่ากับว่าช่องข่าวจะต้องเพิ่มรายได้อย่างน้อย 45-50 %แล้วตรึงต้นทุนไว้เท่าเดิม จึงจะทำให้ผลประกอบการเป็นบวก อย่างน้อยจะต้องเบ่งรายได้ขึ้นไปถึงเฉลี่ยช่องละ 455-460 ล้านบาทต่อปี
2.กลุ่มช่องวาไรตี้(SD): โตเดี่ยวช่องworkpoint
-เนื่องจากตัวเลขที่แจ้งกระทรวงพาณิชย์ของกลุ่มช่อง 3 ไม่ได้แยกรายช่อง จึงขอนำตัวเลขช่อง 3 ทั้งสามช่องให้ไปอยู่ในกลุ่มวาไรตี้ HD จึงเหลือข้อมูล 6 ช่องมาวิเคราะห์
-รายได้ของกลุ่มช่องวาไรตี้ SD 6 ช่องมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเกือบทุกช่อง ยกเว้นช่อง NOW26 ที่มีรายได้ลดลงในปี 2559 ร่วม 40% ทำให้ยอดรายได้รวม เพิ่มจากปี 2557 1,611 ล้านบาทเป็น 4,664 ล้านบาทในปี 2558 และเพิ่มขึ้นเป็น 6,103 ล้านบาทในปี 2559 รายได้เฉลี่ยของช่องวาไรตี้ 690 ล้านลาทต่อปี
-ช่องวาไรตี้ 6 ช่องมีเพียงช่อง Workpoint ที่มีกำไรปีแรกในปี 2559 นอกนั้นทั้ง 5 ช่องมีผลขาดทุนในช่วง 3 ปีรวมกันมากกว่า 4,800 ล้านบาท เฉลี่ยขาดทุนรวม 3 ปีของแต่ละช่องประมาณ 800 ล้านบาท ยกเว้นช่อง Workpoint ได้ถึงจุดสามารถทำกำไรได้แล้ว
-ช่องวาไรตี้ SD จะต้องเพิ่มรายได้อีกเฉลี่ยช่องละประมาณ 260-270 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 35-40% จึงจะทำให้สามารถมีกำไรได้ แต่ตัวเลขต้นทุนของช่องวาไรตี้ SD แต่ละช่องต่างกันมากตามเนื้อหาที่ผลิต แตกต่างจากช่องข่าวที่มีต้นทุนผลิตไม่ต่างกันมากนัก ช่องวาไรตี้ SD เฉลี่ยแล้วควรจะต้องมีรายได้ไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาท จึงจะถือได้ว่าผลประกอบการเริ่มเป็นบวก
3.กลุ่มช่องวาไรตี้ HD : รายได้รวม3ปีถดถอยลงทุกปี
-เนื่องจากตัวเลขรายได้และกำไรขาดทุนของ MCOT เป็นผลประกอบการรวมทุกธุรกิจของอสมท.คือทีวี,วิทยุ,โครงข่าย,นิวมีเดียว จึงขอให้ตัวเลขรวมในการวิเคราะห์รวมในกลุ่มช่องวาไรตี้ HD
-นอกจากนี้เข้าใจว่ารายได้ของช่อง 3 Original หรืออะนาล็อกไม่ได้นำมาแสดงในตาราง แต่ตัวเลขช่อง 3 ที่นำมาแสดงเป็นรายได้รวมของ 3 ช่องทีวีดิจิทัล อาจจะทำให้ตัวเลขคลาดเคลื่อนได้บ้าง
-ช่องวาไรตี้ HD มีเพียงช่องเดียวที่มีผลประกอบการเป็นบวกทั้ง 3 ปี แต่รายได้รวมกลับลดลงอย่างมากนับจากปี 2557 มีรายได้ 10,428 ล้านบาท ลดลร่วม 30% เหลือ 7,189 ล้านบาทในปี 2558 และยังลดลงอีกในปี 2559 เหลือ 5,825 ล้านบาท ในขณะที่กำไรก็ลดลงจาก 5,510 ล้านบาทเหลือแค่ 1,567 ล้านบาทในปี 2559
-รายได้รวม 3 ปีของช่องวาไรตี้ HD มีแนวโน้มลดลงตามลำดับจาก 15,919 ล้านบาทในปี 2557 ลดลงมาเหลือ 14,842 ล้านบาทในปี2558 แล้วยังลดต่อเนื่องเหลือ 12,539 ล้านบาทในปี 2559 รายได้รวมของช่องวาไรตี้HD สูงกว่าช่องวาไรตี้ SD ประมาณ 1 เท่าตัว แต่จากแนวโน้มรายได้รวมลดลง ทำให้มีข้อสังเกตุว่าคุณภาพความคมชัดมากกว่าไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้ว่าคนดูจะนิยมมากกว่า
-ผลขาดทุนสะสมของช่องวาไรตี้ HD ทั้ง 5 ช่อง ยกเว้นช่อง 7 HD และข่อง 3 HD อยู่ในอาการน่าเป็นห่วงมาก เกือบทุกรายมีขาดทุนสะสมอยู่ในระดับ 1,800 -2,000 ล้านบาทขึ้นไป ยกเว้นช่อง 9 ที่เพิ่งเริ่มขาดทุนในปีที่แล้ว แต่ภาวะรายได้โฆษณาจากธุรกิจโทรทัศน์ของอสมท.ลดลงฮวบฮาบมาก..
SET ZEROทีวีดิจิทัล
คอลัมน์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อชักชวนทุกคนมาระดมความคิด เพื่อหาทางออก ผ่าทางตันอุตสาหกรรมโทรทัศน์ของไทย ที่ถูก Disruption จากสื่อใหม่อย่างรุนแรงในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา มองอดีตเป็นบทเรียน โดยไม่ต้องค้นหาว่าใครผิด เพื่อร่วมกันวางเส้นทางใหม่ของอุตสาหกรรมนี้ที่ยังมีความสำคัญต่อประเทศไทย 4.0
อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้เขียนคอลัมน์คิดใหม่วันอาทิตย์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ แล้วคัดมารวมอยู่ในหนังสือ 2 เล่ม เล่มแรก: ภูมิทัศน์สื่อใหม่ Digital Media ทีวีพันช่อง
เล่มที่สอง : มหากาพย์ทีวีดิจิทัล

วันอาทิตย์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"ครัวการบินไทย" ฝันปั้นรายได้หมื่นล้าน ภายใน 5 ปี

"ครัวการบินไทย" ฝันปั้นรายได้หมื่นล้าน ภายใน 5 ปีวางแผนเข้าตลาดเอ็มเอไอ

โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์ 24 ก.ค. 2560 05:01

นางวรางคณา ลือโรจน์วงศ์ กรรมการผู้จัดการฝ่ายครัวการบิน บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจการบินมีการแข่งขันสูงมาก ซึ่งครัวการบินไทยก็เป็น 1 ในหน่วยธุรกิจหลักภายใต้การกำกับของการบินไทยที่จะสร้างรายได้กว่าปีละ 7,600 ล้านบาท และคาดว่าธุรกิจจะโตได้กว่าปีละ 5-6% ซึ่งปัจจุบันครัวการบินไทยมีรายได้หลักมาจากส่งอาหารขึ้นเครื่องบินและอาหารที่ขายบนภาคพื้น โดยในปีนี้ครัวการบินจะแยกบัญชีบริหารจัดการชัดเจน โดยจะให้ครัวการบินทั้งหมดย้ายมาที่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อทำอาหารส่งขึ้นเครื่องบินอย่างเดียว ส่วนครัวการบินที่สนามบินดอนเมือง จะทำหน้าที่ครัวที่เน้นขายทั่วไปและร้านอาหารเป็นหลัก

นอกจากนั้น ทางครัวการบินไทยจะมีการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาวงเงิน 15 ล้านบาท ระยะเวลา ศึกษา 3 เดือน เพื่อศึกษาแผนพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ของครัวการบินไทย และแผนกลยุทธ์จัดหารายได้เพิ่มให้กับครัวการบินไทยระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า (ปี 2561-2563) จากปัจจุบัน 7,600 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท และภายใน 5 ปี ครัวการบินไทยมีแผนที่จะนำหน่วยธุรกิจครัวการบินไทย เข้าตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ.

เวิร์คพอยท์'ปั้น 3 แบรนด์คอนเทนท์ออนไลน์

'เวิร์คพอยท์'ปั้น 3 แบรนด์คอนเทนท์ออนไลน์ 

ที่มา bangkokbiznews
หลังใช้เวลา 3 ปีนำทีวีดิจิทัลช่อง“เวิร์คพอยท์ทีวี”ไต่ขึ้นอันดับ 3 โดยมีเรือธงคอนเทนท์เกมโชว์และวาไรตี้ ​โกยเรทติ้งเบียดฟรีทีวีรายเดิม 

ชลากรณ์ ปัญญาโฉม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัลทีวี บริษัทเวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่ากลยุทธ์การพัฒนาคอนเทนท์ทีวีที่ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง คือการเชื่อมหน้าจอทีวีกับสื่อออนไลน์ ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้ชมปัจจุบันที่มีสัดส่วนใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น หรือกว่า 67% ของประชากรไทย ขณะที่ทีวี ยังเป็นสื่อหลักเข้าถึงผู้ชมทั่วประเทศ 

ที่ผ่านมาเวิร์คพอยท์พัฒนาคอนเทนท์ประเภทเกมโชว์และวาไรตี้ ขึ้นมาติดอันดับผู้นำในช่วงไพรม์ไทม์ โดยมีผู้ชมผ่านจอทีวีและช่องทางออนไลน์ ทั้งเฟซบุ๊ค ยูทูบ และเว็บไซต์เวิร์คพอยท์ ปัจจุบันถือว่าคอนเทนท์กลุ่มบันเทิงมี “แบรนด์และฐานผู้ชม”ที่ชัดเจนและมีผู้ติดตามต่อเนื่องเป็นแฟนประจำ

 พฤติกรรมการดูทีวีผู้ชมต้องการความหลากหลายของคอนเทนท์ ดังนั้นสื่อทีวี ยังต้องเป็น“แมส คอนเทนท์”สำหรับทุกวัย แต่ในช่องทางออนไลน์ผู้บริโภคสามารถเลือกเสพคอนเทนท์ได้เองตามความสนใจ

 กลยุทธ์สร้างแบรนด์คอนเทนท์ออนไลน์ ของเวิร์คพอยท์ จึงกำหนดไว้ 3 กลุ่ม คือ บันเทิง,ข่าว และคิดส์แอนด์แฟมิลี่ เพื่อตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคสื่อออนไลน์ และตอบโจทย์การสื่อสารของสินค้าและแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายรายเซ็กเมนท์ 

การพัฒนาแบรนด์คอนเทนท์ออนไลน์ ที่ดำเนินการไปแล้วคือกลุ่มเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ภายใต้แบรนด์ “เวิร์คพอยท์” โดยมีฐานผู้ติดตามทั้งแฟลตฟอร์มโซเชียลมีเดียหลักและสื่อออนไลน์ที่บริษัทพัฒนาเองทั้งเว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น ช่วงครึ่งปีหลังจะพัฒนาแบรนด์กลุ่ม “ข่าว”และกลุ่ม“คิดส์แอนด์แฟมิลี่”

เริ่มด้วยกลุ่มข่าว เดือน ส.ค.นี้ จะปรับรูปแบบรายการข่าวเช้าหรือเวิร์คพอยท์ นิวส์ ช่วง 6.00-9.00 น. ในชื่อ“เมืองไทยไก่โห่” เป็นรูปแบบข่าวกึ่งวาไรตี้ โดยเสริมทีมทั้งผู้ประกาศรวม 10 คน จากเดิม 3-5 คน และทีมข่าว โดยมีความร่วมมือเป็นพันธมิตรกับ เพจ“อีจัน” ที่มีความเชี่ยวชาญด้านข่าวอาชญากรรมและประเด็นกระแสสังคม โดยมีผู้ติดตามเฟซบุ๊คเพจเกือบ 4 ล้านไลค์

 ทีมข่าวเพจอีจัน จะผลิตข่าวป้อนให้กับช่วงข่าวเช้าเวิร์คพอยท์และหากเป็นประเด็นต่อเนื่อง จะนำเสนอเพิ่มเติมในช่วงอื่นๆ เพื่อเกาะติดสถานการณ์ในประเด็นที่สังคมสนใจ รูปแบบการนำเสนอจะผ่านทั้งจอทีวีและสื่อออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์และเฟซบุ๊คของทั้งเวิร์คพอยท์และเพจอีจัน ซึ่งในสื่อออนไลน์อาจมีประเด็นที่ติดตามต่อเนื่องเพิ่มเติมจากจอทีวี

“ความร่วมมือกับเพจอีจัน เป็นการจ้างผลิตข่าว ซึ่งเดิมเราจ้างทีมสตริงเกอร์ทำข่าวอาชญากรรมอยู่แล้ว การเป็นพันธมิตรกับอีจัน ทำให้ทั้ง2 ฝ่าย มีฐานผู้ชมเพิ่มขึ้น จากผู้ติดตามคอนเทนท์แต่ละฝ่ายอยู่แล้ว ถือว่า win win ทั้งคู่”

พร้อมกันนี้เวิร์คพอยท์ จะพัฒนาช่องทางออนไลน์ในกลุ่มข่าวเพิ่มเติม แยกออกจากคอนเทนท์บันเทิง โดยเปิดตัวเว็บไซต์และสื่อโซเชียล workpoint news เพื่อสร้างแบรนด์ข่าวให้แข็งแกร่งอีกคอนเทนท์