วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

`กลยุทธ์ใหม่´ ที่ช่วยดันกำไรของ Starbucks เพิ่มขึ้น 25%

Lightbulb `กลยุทธ์ใหม่´ ที่ช่วยดันกำไรของ Starbucks เพิ่มขึ้น 25%
ชื่อ:  1236778_432553733511618_1229442793_n.jpg
ครั้ง: 1625
ขนาด:  55.9 กิโลไบต์
http://www.stock2morrow.com
ช่วงที่ผ่านมา...มีการประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของบริษัทต่าง ๆ

ในสหรัฐอเมริกา และบริษัทหนึ่งที่ผลกำไรออกมาสูงกว่าที่คาดไว้คือ Starbucks

ที่กำไรในไตรมาสที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25% อันเนื่องมาจากยอดขายจากร้านค้าต่าง ๆ

ที่เพิ่มขึ้น (Same-Store Sales) ทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก

(ยอดขายจากร้านค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 ทั่วโลก)

สาเหตุหลักของการเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไรของ Starbucks นั้น เกิดขึ้นมาจาก

`การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์´ ของบริษัท

...จากความเป็นร้านกาแฟหรือร้านที่สร้างประสบการณ์เกี่ยวกับกาแฟ ตอนนี้ Starbucks

จะหันมาเน้นที่อาหารและดิจิทัลมากขึ้น

Howard Schultz - CEO ของ Starbucks ออกมาให้สัมภาษณ์ไว้อย่างชัดเจนว่า...

Starbucks จะเพิ่มเมนูอาหารมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ในขณะเดียวกันลูกค้าของ

Starbucks (โดยเฉพาะชาวอเมริกัน) ก็จะสนุกสนานกับศักยภาพใหม่ ๆ ทางด้าน Digital ของ

Starbucks เพิ่มมากขึ้


::::::::::::::::::


กลยุทธ์และการเคลื่อนไหวของ Starbucks คราวนี้น่าสนใจ

เนื่องจากถ้านับเฉพาะด้านเครื่องดื่มโดยเฉพาะกาแฟนั้น ถือว่า Starbucks อยู่ตัวแล้ว

มีฐานลูกค้าที่มีความจงรักภักดีแล้ว

คราวนี้ Starbucks ก็จะหันมาเพิ่มรายได้จากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่ไม่ใช่กาแฟมากขึ้น



• 1. อาหาร


มาที่ตัวอาหารกันก่อน Starbucks เชื่อว่าถ้าลูกค้าของตนยอมที่จะจ่ายเงิน

และซื้อกาแฟแพงกว่าที่อื่นแล้ว (แสดงว่าเป็นลูกค้าที่มีกำลังจ่าย)

ลูกค้าเหล่านั้นก็ย่อมที่พร้อมจะจ่ายเงินซื้ออาหารไม่ว่าจะเป็นอาหารว่างหรือ

อาหารเที่ยงด้วยเช่นกัน ถ้า Starbucks เตรียมไว้ให้


ในไตรมาสที่ผ่านมาร้อยละ 22 ของการเติบโตของยอดขายจากร้านค้าเดิมของ

Starbucks นั้นมาจาก...อาหาร

แสดงให้เห็นว่าตัว Growth Engine หรือแหล่งการเติบโตของรายได้ที่สำคัญของ

Starbucks ทั้งในปัจจุบันและอนาคตจะเป็นอาหารไปแล้ว

จากความพยายามในการเพิ่มยอดขายจากอาหารนั้น Starbucks

กำลังจะเปลี่ยนตนเองจากความเป็น Coffee Shop สู่ความเป็น Cafe มากขึ้น

ล่าสุดมีข่าวว่า Starbucks ได้จับมือร่วมกับ Danone SA

ผู้ผลิตนมและผลิตภัณฑ์จากนมยักษ์ใหญ่ของโลก พัฒนา Yogurt

ภายใต้แบรนด์ร่วมระหว่างทั้งสององค์กร ในชื่อว่า "Evolution Fresh,

Inspired by Dannon"

และจะออกวางขายในร้าน Starbucks ภายในปีหน้า

และจะตามมาด้วยการวางขายในซูเปอร์มาร์เก็ตต่อไป

นอกจากนี้การเติบโตเข้าสู่ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ ของ Starbucks

ยังชัดเจนด้วยการที่ Starbucks เข้าไปซื้อธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นเบเกอรี่

หรือ บริษัทที่ขายใบชา หรือ บริษัทที่ทำ Energy Drink ในช่วงสองปีที่ผ่านมา

::::::::::::::::::


• 2. โซดา


นอกเหนือความพยายามในการดึงลูกค้าเข้าร้านตนเองตอนเช้า

(ด้วยกาแฟและอาหารเช้า) และตอนเที่ยง (ด้วยอาหารเที่ยง) แล้ว

Starbucks ยังพยายามที่จะหาทางดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านตนเองในช่วงบ่าย

ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่คือเครื่องดื่มประเภทโซดา

ตอนนี้ Starbucks กำลังทดสอบผลิตภัณฑ์ใหม่ของตนเองอยู่

โดยเน้นการดึงดูดลูกค้าที่ต้องผจญกับอากาศร้อนให้เข้ามาดื่มเครื่องดื่มเย็น ๆ

ในร้านตนเองด้วย Soda-Fountain

โดยเริ่มจากสามรสชาติคือ Lemon ale, Spiced root beer, Ginger ale

เรียกได้ว่า...ในช่วงที่กาแฟขายไม่ดีอย่างช่วงบ่ายก็พยายามหาสินค้าอื่นมานำเสนอลูกค้า

::::::::::::::::::


• 3. Digital Experience


กลยุทธ์ที่น่าสนใจอีกประการของ Starbucks คือการพยายามที่จะดึงคนรุ่นใหม่เข้ามาที่

Starbucks มากขึ้นโดยใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลเป็นตัวล่อ

ตอนนี้ Starbucks มีตำแหน่ง Chief Digital Officer เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในอเมริการ้อยละ 10 ของการชำระเงินในร้านค้าเกิดขึ้นผ่านโทรศัพท์มือถือแล้ว

ขณะเดียวกันมีผู้ติดตาม Twitter ของ Starbucks เกิน 4.3 ล้านคนแล้ว

ส่วนใน facebook ก็มีแฟนเพจ มากกว่า 35 ล้านคน



และล่าสุดเห็นกำลังติดตั้งที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือไว้ให้ลูกค้า

โดยเป็นที่ชาร์จที่เป็นลักษณะของ Charging Mats

ที่เพียงแค่วางมือถือไว้ก็จะชาร์จแบตให้ทันที

เรียกได้ว่า Starbucks นอกจากจะสามารถสร้างประสบการณ์ด้านกาแฟแล้ว

ยังหันมาจับเจ้า Digital Experience ของกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่อีกด้วย


นี่คือ...กลยุทธ์การเติบโตที่ Starbucks มุ่งเน้น เรียกได้ว่าทั้งชัดเจนและ

เห็นผลอย่างเป็นรูปธรรม

::::::::::::::::::


Credit : ดร.พสุ เดชะรินทร์ - คอลัมนิสต์ประจำคอลัมน์

"มองมุมใหม่" กรุงเทพธุรกิจ

KTC ปลื้มกลยุทธ์ทวงหนี้เร็ว


วันพุธที่ 02 ตุลาคม 2013 เวลา 10:22 น. กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ การเงิน FINANCIAL - คอลัมน์ : การเงิน-ตลาดทุน พิมพ์
http://www.walkwaywhy.com/
http://www.thanonline.com
 เคทีซี ฟุ้งผลงาน 8 เดือนลูกค้ายังจ่ายเงินปกติ-เอ็นพีแอลบัตรเครดิตสูงกว่าระบบอยู่ที่ 3.3% อ้างยกเลิกเอาต์ซอร์ซ-2 ปีก่อนลูกค้าเจอน้ำท่วม ชูกลยุทธ์ติดตามหนี้เร็ว ออกมาตรการช่วยเหลือลดปัญหาหนี้ค้างชำระ ส่วนหนี้ไหลย้อนกลับแค่ 1%  "พรเลิศ" ชี้ปีหน้ากลุ่มผู้สูงอายุเสี่ยงผิดนำชำระสูง

    นายพรเลิศ เบญจกุล ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายติดตามหนี้ บริษัท บัตรกรุงไทยฯ (KTC) เปิดเผยว่า ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สัญญาณการชำระหนี้ของลูกค้าบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) ยังคงเป็นปกติ แม้ว่าหลายฝ่ายกังวลในเรื่องของหนี้ภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายภาครัฐ โดยตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แสดงอัตราการขยายตัวของสินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อบุคคล ในช่วงไตรมาสที่ 1 และ 2 มีการขยายตัวที่ระดับ 1.1% ถือว่าไม่ได้สูงมากจนเกินไป ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) บัตรเครดิตทั้งระบบอยู่ที่ 2.3% สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 3%

    ทั้งนี้ ในส่วนของเคทีซี แม้ว่าแนวโน้มเอ็นพีแอลในช่วงต้นปีที่ผ่านมาไม่ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคล แต่จะเห็นว่าระดับเอ็นพีแอลบัตรเครดิตที่ปัจจุบัน 3.3% ซึ่งสูงกว่าทั้งระบบ เนื่องจากภายหลังการดำเนินนโยบายลดต้นทุนการดำเนินงาน โดยการยกเลิกการจ้างบริษัทภายนอก (เอาต์ซอร์ซ) และหันมาดำเนินธุรกิจเองบางส่วน ประกอบกับในช่วงก่อนหน้านี้ลูกค้าประสบปัญหาน้ำท่วม ทำให้เอ็นพีแอลปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เชื่อว่าหลังจากระบบเข้าที่แล้ว แนวโน้มเอ็นพีแอลจะปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง

    "ปัจจุบันแม้ทุกคนจะให้ความเป็นห่วงเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาสัญญาณการชำระหนี้ของเคทีซียังเป็นปกติ โดยที่ตัวเลขการค้างชำระเกิน 30 วัน ก็อยู่ใกล้เคียงกับตลาด ไม่ได้สูงกว่า แต่ที่เห็นตัวเลขเอ็นพีแอลของเราสูงกว่าระบบนั้น เป็นผลมาจากลูกค้าประสบปัญหาน้ำท่วม และเรายังมีการปรับโครงสร้างการทำธุรกิจ ยกเลิกการใช้เอาต์ซอร์ซมาเป็นอินเฮาส์ ทำให้ระบบยังไม่ค่อยเข้าที่ แต่เชื่อว่าหลังจากนี้แนวโน้มจะดีขึ้น" นายพรเลิศ กล่าวและว่า

    สำหรับกลยุทธ์สำคัญของฝ่ายติดตามหนี้ เพื่อป้องกันการค้างชำระหนี้ของลูกค้า จนส่งผลให้เกิดเป็นเอ็นพีแอลตามมา จะเป็นเรื่องของความรวดเร็วในการติดตามหนี้ หากลูกค้าเข้าข่ายค้างชำระตั้งแต่วันแรก บริษัทจะสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ ทั้งการส่งข้อความ จดหมาย หรือการโทรศัพท์เตือน กระบวนการเหล่านี้ ทำให้บริษัททำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ลูกค้าชำระหนี้ก่อนคู่แข่ง โดยที่ผ่านมาสัดส่วนลูกค้าที่ค้างชำระ และสามารถกลับมาชำระใหม่ได้เติบโตถึง 40% ขณะที่สัดส่วนลูกค้าที่ค้างชำระและไหลกลับมาเป็นหนี้ใหม่มีสัดส่วนที่น้อยมาก หรือไม่มีเลย

    นอกจากกระบวนการติดตามที่รวดเร็วแล้ว บริษัทยังมีการประเมินปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะกระทบการชำระของลูกค้าได้ เช่น น้ำท่วม หรือกรณีประท้วงเรื่องยางพาราที่มีการปิดถนน เป็นต้น ถือเป็นปัจจัยที่ทำให้การสื่อสารของบริษัทกับลูกค้าขาดหายไปได้ เนื่องจากไม่สามารถส่งจดหมายถึงลูกค้า บริษัทจะส่งเป็น SMS แต่หากลูกค้าไม่สะดวกในการชำระหนี้ บริษัทจะนำปัจจัยแวดล้อมเหล่านี้มาพิจารณาในการวิเคราะห์และออกมาตรการช่วยเหลือลูกค้าให้สอดคล้องกับแนวนโยบายของภาครัฐ

    ทั้งนี้ มาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก เช่น การลดอัตราค่าชำระค่างวดขั้นต่ำจาก 10% เหลือ 1% หรือการตัดหนี้สูญ (แฮร์คัต) รวมถึงยกเว้นค่าธรรมเนียมในการติดตามหนี้ โดยปกติลูกค้าจะต้องเสีย 250 บาทต่อรายการต่อบัญชี อย่างไรก็ดี ภายในปีนี้บริษัทจะมีการลดอัตราค่าธรรมเนียมการติดตามหนี้ลงประมาณ 10% ซึ่งเป็นไปตามนโยบายสมาคมธนาคารไทย และจากสถานการณ์น้ำท่วมในปัจจุบัน เคทีซีพร้อมช่วยเหลือลูกค้าเต็มที่ โดยจะดำเนินตามมาตรการเช่นเดียวที่เคยทำมา รวมถึงจะมีการพิจารณาช่วยเหลือเป็นรายบุคคลต่อไป

    ต่อข้อถามถึงแนวโน้มเอ็นพีแอลนั้นนายพรเลิศกล่าวว่า  ปีหน้ามองว่า กลุ่มที่จะมีความเสี่ยงและมีแนวโน้มที่จะผิดนัดชำระค่อนข้างสูง จะเป็นกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 40-50 ปี มีแนวโน้มมีภาระหนี้มากขึ้น แต่มีรายได้เท่าเดิม ทำให้ความสามารถในการผ่อนชำระลดลงน้อย ซึ่งปัจจุบันลูกค้ากลุ่มนี้บริษัทมีฐานไม่สูง ซึ่งส่วนใหญ่ฐานลูกค้าเคทีซีจะอยู่ในกลุ่มที่มีรายได้ประจำ หรือกลุ่มเพิ่งเริ่มต้นทำงาน

    "การติดตามหนี้ที่เร็ว จะทำให้การชำระหนี้เร็วกว่าคนอื่นด้วย ส่วนลูกค้าที่มีปัญหาทั้งปัจจัยภายนอกและภายใน เราก็มีมาตรการช่วยเหลือคอยรองรับอยู่แล้ว และจะเห็นว่าหลังมาตรการช่วยเหลือสัดส่วนลูกหนี้ที่ไหลกลับมาเป็นเอ็นพีแอลอีกครั้งมีไม่ถึง 1% แสดงว่ากลยุทธ์ที่มีกับแผนงานที่เราทำ จะสามารถควบคุมดูแลหนี้เอ็นพีแอลไม่ให้เพิ่มขึ้นได้"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,884 วันที่  3-5 ตุลาคม  พ.ศ. 2556

คาด Facebook ครองส่วนแบ่งตลาด “Mobile Ad”เพิ่ม 3 เท่าตัวปีนี้


facebookview
ที่มาhttp://thumbsup.in.th
วันที่: 30 August 2013
หมวดหมู่: Business, Digital Advertising
ป้ายคำ: 2013, ad, emarketer, facebook, global, mobile, share

facebookview
จากที่ไม่มีส่วนแบ่งตลาดโฆษณาบนอุปกรณ์พกพาหรือ Mobile Ad เลยในปี 2011 ต่อมาปี 2012 ถีบตัวเองขึ้นมาเป็น 5.3% และสำหรับปีนี้ บริษัทวิจัยตลาด Mobile Ad เชื่อว่า Facebook จะมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวเป็น 15.8% เป็นตัวเลขที่น่าจับตามองครับ


ข้อมูลตลาด Mobile Ad ปี 2013 นี้เป็นของ eMarketer บริษัทวิเคราะห์การตลาดออนไลน์ที่ประเมินรายได้ในวงการ Mobile Ad ทั่วโลกสำหรับปีนี้ไว้ว่า ตลาด Mobile Ad จะยังโตต่อเนื่องขึ้นไปอีกถึง 89% โดย eMarketer ประเมินว่ารายได้รวมของตลาด Mobile Ad ทั่วโลก น่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 16,700 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 5.34 แสนล้านบาท

ผู้ที่ถูกคาดว่าจะครองส่วนแบ่งใหญ่ในตลาด Mobile Ad ปี 2013 คือเจ้าตลาดที่คร่ำหวอดในวงการนี้มานานอย่าง Google ปีนี้ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นถูกมองว่าจะสามารถดึงส่วนแบ่งได้เพิ่มขึ้น จากที่ทำได้ 52.36% ในปี 2012 มาอยู่ที่ 53.17% หรือคิดเป็นจำนวนเงินกว่า 8,600 ล้านเหรียญ โดยมีเว็บไซต์ google.com และ YouTube เป็นแหล่งทำเงินสำคัญ

สำหรับส่วนแบ่งของ Facebook ที่ทำไว้ 5.35% ในปีที่แล้ว คาดว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นเป็น 15.8% หรือคิดเป็น 2,600 ล้านเหรียญในปีนี้ ซึ่งถือเป็นปีที่ 2 ที่ Facebook ได้กระโดดมาร่วมวง Mobile Ad
162589
162589

สำหรับอันดับ 3 ในวงการ Mobile Ad ปี 2013 คือ Pandora บริการเพลงออนไลน์ที่ครองส่วนแบ่งตลาด Mobile Ad โลกมากกว่า 2.37% ลดลงจากปี 2012 ที่ครองมาร์เก็ตแชร์ 2.71% อันดับที่ 4 คือ YP หรือ Yellow Pages ซึ่งเป็นเครือข่ายสื่อและโฆษณาในรูปแบบโลคอลเสิร์ชยักษ์ใหญ่ของชาวอเมริกัน โดย YP เคยมีส่วนแบ่งตลาด Mobile Ad 2.86% เมื่อปีที่แล้ว คาดว่าจะลดลงเหลือ 2.27% ในปีนี้

อันดับที่ 5 ของตารางคือ Twitter จากที่เคยทำได้ 1.57% ในปีที่แล้ว คาดว่าปีนี้ รายได้มากกว่า 1.85% ของตลาด Mobile Ad จะไปอยู่ที่ Twitter ถือเป็นสัดส่วนตลาดที่ไม่น้อยเมื่อมองว่า Twitter เพิ่งเริ่มเล่นในตลาด Mobile Ad เมื่อปี 2012 ที่ผ่านมา

Facebook ยังคงเป็นบริษัทที่ทำอะไรก็ดูดีตลาด ยังคงอยู่ในขาขึ้นได้อีกนาน สำหรับบ้านเรานักการตลาดต่างก็ลงโฆษณากับ Facebook ไม่หยุดหย่อน เพราะตัวเลขผู้ใช้ยั่วยวนใจเหลือเกินที่ราวๆ 22 ล้านคน

ที่มา: Adweek

ธุรกิจค้าปลีกทำยอดโฆษณาบนมือถือพุ่งสูงสุด…




วันที่: 25 September 2013
หมวดหมู่: Digital Advertising
ป้ายคำ: advertising, Millennial Media, mobile


ที่มา http://thumbsup.in.th/
ทุกวันนี้การทำโฆษณาผ่านช่องทางของแอพพลิเคชันบนมือถือ อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เราเห็นกันได้อย่างคุ้นชิน และเรารู้จักมันมากขึ้น ถ้าหากเพื่อนๆ ยังจำกันได้ ทีมงาน thumbsupTH เคยได้มีโอกาสและเชิญแขกจากต่างประเทศ ที่เป็นบริษัทด้าน Mobile Advertising and Data Platform มาร่วมพูดคุย และทำความเข้าใจให้เห็นถึงมุมที่นักพัฒนาจะได้รับจากการโฆษณารูุปแบบนี้ วันนี้เรามีตัวเลขที่น่าสนใจเกี่ยวกับโฆษณาบนมือถือมาฝาก เชิญติดตามได้ครับ…

สิ่งที่ผมนำมาฝากนั้น อาจจะสามารถช่วยให้ผู้จะทำโฆษณา หรืออยากทราบว่าจะเลือกโฆษณาจากธุรกิจประเภทใดมาลงกับแอพพลิเคชันดี เพื่อนๆ thumbsup’er คงน่าจะทราบคำตอบจากชื่อของบทความแล้วใช่ไหมครับ เพราะธุรกิจประเภท “ค้าปลีก” เป็นธุรกิจที่มีการจ่ายเงินเพื่อการประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการมากที่สุดนั่นเอง

โดยตัวเลขนี้ เราได้รับมาจากทาง Millennial Media (MM) ถึงข้อมูลที่ว่า ธุรกิจค้าปลีกคือกลุ่มที่มีการใช้จ่ายเพื่อการประชาสัมพันธ์ในช่วงไตรมาสที่สองของปีนี้ กับทาง MM มากเป็นอันดับที่หนึ่ง และเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว การใช้จ่ายในการโฆษณานั้น มีสูงขึ้นมากที่สุดคือร้อยละ 413 หรือพูดง่ายๆ คือพวกเขาจ่ายมากกว่าเดิมเป็น 4 เท่าตัวนั่นเอง ทั้งที่จริงๆ แล้ว ช่วงต้นปีที่ผ่านมาธุรกิจค้าปลีกยังอยู่ในอันดับที่ 4 เท่านั้นเอง

สิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลตามมาจากอันดับที่เราเห็นนี้ คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ธุรกิจค้าปลึกนั้น มีการเน้นหนักในการโฆษณาในช่วงเทศกาลวันหยุด ซึ่งมีมากมายในไตรมาสสุดท้ายของปี (มีวันหยุดและเทศกาลมากมายในต่างประเทศช่วงปลายปี) ดังนั้นก็คงไม่แปลกถ้าเราจะเห็นอันดับเป็นแบบนี้
top-10-brand-spend
top-10-brand-spend

สำหรับกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคนั้นเป็นภาคธุรกิจที่มีการลงโฆษณามากที่สุดเป็นอันดับที่สอง และเติบโตขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 111 ซึ่งอาจจะไม่มากเท่ากับธุรกิจค้าปลีก ผลิตภัณฑ์อาหารหลายๆ เจ้า พยายามสร้างภาพจำด้วยวิดีโอ เพื่อให้กลุ่มลูกค้าที่ซื้อของในร้านขายของชำ และซุปเปอร์มาร์เก็ตได้รับรู้

ในขณะที่บริการจากรัฐฯ มาติดใน 10 อันดับแรกของภาคธุรกิจเป็นหนแรก ซึ่งอาจจะดูแปลกตาไปบ้าง โดยพวกเขาจ่ายเงินเพิ่มขึ้นร้อยละ 191 เพื่อที่จะส่งมอบข้อความที่เป็นข้อมูลที่มีประโยชน์เฉพาะทาง เช่นข้อมูลเกี่ยวกับสภาพอากาศ ความปลอดภัยและการให้บริการอื่นๆ ในประเทศ
vertical-spend
vertical-spend

สุดท้ายคือ “องค์กรการกุศล” หรือ “หน่วยงานที่ไม่หวังสร้างกำไร” ที่ใช้จ่ายเงินเพิ่มไม่น้อยจากปีก่อน โดยบรรดากลุ่มผู้สนับสนุนสุขภาพ ได้ประชาสัมพันธ์แคมเปญเพื่อสร้างภาพจำให้กลุ่มเป้าหมายที่ตรงกลุ่มและเหมาะสมมากยิ่งขึ้น

ที่มา: Millennial Media

“ซุป' ตาร์ มาร์เก็ตติ้ง" กลยุทธ์จับศิลปิน-ดาราต่อยอดธุรกิจ

ดวงกมล 
ช่องทางสร้างอาชีพ
วันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

“ซุป' ตาร์ มาร์เก็ตติ้ง" เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าจ่ายแพงแต่ก็ยอมควักจ่ายทั้งนี้ก็เพื่อเป็นทางลัดในการสร้างแบรนด์ช่วยเรียกเรตติ้ง รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย
       ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่หลายธุรกิจเลือกใช้สำหรับ“ซุป' ตาร์ มาร์เก็ตติ้ง" เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าจ่ายแพงแต่ก็ยอมควักจ่ายทั้งนี้ก็เพื่อเป็นทางลัดในการสร้างแบรนด์ช่วยเรียกเรตติ้ง รวมถึงช่วยกระตุ้นยอดขาย
      แต่อย่างก็ไรตามในยุคที่การตลาดฟาดฟันกันสูง การใช้คนของประชาชนมาสร้างปรากฏการณ์ "ทอล์กออฟเดอะทาวน์" ดูเหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว 
คิทเช่นสตูดิโอ ใช้พ่อครัวหน้าหยก
      
     ที่มา http://www.sentangsedtee.com
 ธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้างที่ไต่เต้าจากสเปเชียลตี้สโตร์ล่าสุดประกาศตัวเป็น “วัน สต๊อป ช็อปปิ้ง” มาที่เดียวได้ครบเรื่องบ้านอย่าง “บุญถาวร” ก็โหนกระแสการใช้ดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ล่าสุดจัดหนักทุ่ม 5 ล้านดึง ชาคริต แย้มนาม มาเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์สินค้ากลุ่มเครื่องครัว
      คุณชนัส ชูชาติ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด กล่าวว่า  1-2 ปีนี้ บุญถาวรบุกตลาดด้วยการสร้างซับแบรนด์ใหม่“คิทเช่นสตูดิโอ”ด้วยงบ70ล้านบาท แคมเปญดังกล่าวหวังว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายในปีหน้า15-20% หลังยอดขายปี 55 ทะลุ 1.2 พันล้านบาท ปี 56 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 1.8 พันล้านบาท
   
      คิทเช่นสตูดิโอ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รักการทำอาหาร ซึ่งผู้จัดการฝ่ายการตลาดมั่นใจว่าในตลาดยังไม่มีใครทำ และการที่นำ ชาคริต แย้มนาม มาเป็นพรีเซ็นเตอร์เพราะพระเอกหนุ่มมีไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับสินค้า คนทั่วไปติดลุกส์ชาคริตว่าเป็นพ่อครัวสมัยใหม่ และเชื่อว่าส่วนหนึ่งของแบรนด์จะยั่งยืนได้อยู่ที่การเลือกใช้พรีเซ็นเตอร์ฉะนั้นต้องเลือกให้เหมาะสม 

โสสุโก้ จับมืออู๋ ร่วมเปิดตัวกระเบื้องพิมพ์ลาย
     
      ฝากของผลิตภัณฑ์กระเบื้องปูพื้นและบุผนัง “โสสุโก้” ก็ดึง อู๋ ธนากร โปษยานนท์ มาร่วมเปิดตัวนวัตกรรมใหม่การพิมพ์ลายลงบนแผ่นกระเบื้อง งานนี้ทุ่มงบ 80 ล้านบาทหวังขายกิมมิคในภาวะที่ตลาดกระเบื้องระดับล่าง–กลางอาจติดลบถึง10%ขณะที่ตลาดบนโตได้7-8%
      คุณกิตติชัย ไกรก่อกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โสสุโก้ แอนด์ กรุ๊ป (2008) เปิดเผยว่า ตลาดกระเบื้องสำหรับการซ่อมแซมหดตัวลงจาก 70% เหลือ 60% ถ้าเทียบตลาดสร้างใหม่ขยายตัวจาก 30% เป็น 40% แสดงว่าตลาดกระเบื้องระดับกลางถึงบนยังเติบโตได้ดีอยู่
      สำหรับกลุ่มลูกค้าที่โสสุโก้ต้องการคือ กลุ่ม Gen Y ส่วนเหตุผลที่เลือกอู๋เพราะมีแคแร็กเตอร์เป็นตัวของตัวเองเป็นผู้ชายที่ดูอบอุ่นที่สำคัญอู๋ถ่ายภาพสวย
      ราคากระเบื้องพิมลายจะสูงกว่ากระเบื้องธรรมดา20% ปัจจุบันโสสุโก้มีกำลังการผลิต 50 ล้าน ตร.ม.ต่อปี ยอดขายครึ่งปีแรก2,650 ล้านบาท ส่วนครึ่งปีหลังนายกิตติชัย คาดว่าจะไม่ต่ำกว่านี้รวมรายได้ทั้งปี 5 พันล้านบาท
ดูลุกซ์หวั่นหนี้เน่าพุ่ง ดึงเจกระตุ้นยอดขาย
    
      อีกราย “สีดูลักซ์” ที่หวั่นว่าปัจจัยหนี้ครัวเรือน การเมือง เศรษฐกิจทรุดจะมาฉุดกำลังซื้อ เลยออกแคมเปญ ป้ายสีสันกับสีดูลักซ์ ดึง “เจ เจตริน วรรธนะสิน มาเป็นพรีเซ็นเตอร์หวังดึงคนรุ่นใหม่มาเปลี่ยนสีบ้านบ่อยขึ้น        
      คุณจรุง กาญจนภูมิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อั๊คโช่ โนเบล เพ้นท์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรก ภาพรวมตลาดสีทาอาคารจะทรงตัวหากเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดครึ่งปีหลังมีปัจจัยลบ เช่น หนี้ครัวเรือน ปัญหาการเมือง ฉะนั้นเพื่อกระตุ้นยอดขายล่าสุดเปิดตัวแคมเปญ ป้ายสีสันกับสีดูลักซ์ ดึง เจ เจตริน วรรธนะสิน เป็นพรีเซ็นเตอร์  
      “เจ เจตรินมีแฟนคลับอายุ 12 – 30 ปี มีจิตวิญญาณของ DIY กลยุทธ์นี้ 80% เน้นบ้านเก่าทาสีใหม่ อีก 20% เป็นบ้านหลังแรก บ้านหลังใหม่ สำหรับตลาดรวมสีทาอาคาร 1.6 หมื่นล้านบาทดูลักซ์โตจากปีที่แล้ว 4-5%”
เมกาบางนา เลือกซี-แอมมี่ คู่รักมาโชว์หวาน
      
      และ เมกาบางนา โฮม แอนด์ แฟมิลี่ ลิฟวิ่ง อีกหนึ่งอีเว้นท์ที่ทุ่มงบกว่า 3 ล้านบาท นำคู่วิวาห์สุดหวาน ซี-แอมมี่ มาเผยสเปคเรือนหอในฝัน แคมเปญนี้คาดว่าจะเพิ่มขาช็อปขึ้น 15%  
      “ปัจจุบันศูนย์การค้าเมกาบางนาเปิดให้บริการครบ 1 ปีแล้ว โดยในปี 2256 มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทั้งกำไร ยอดขายและรายได้ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา 9 % กลุ่มลูกค้าประจำจะอยู่ห่างจากศูนย์การค้า 20 กิโลเมตร รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน 60, 000 บาทต่อเดือน”
#####